Quantcast
Channel: ป.ป.ช. – ThaiPublica
Viewing all 235 articles
Browse latest View live

ศาลฎีกาฯ นัด “บุญทรง-พวก”ฟังคำสั่งไต่สวนพยานคดีทุจริตขายข้าวจีทูจี 12 พ.ย. นี้ – “ยิ่งลักษณ์” ฟ้อง อสส. ปมคดีจำนำข้าว

$
0
0
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มาภาพ : http://www.bangkokpost.com/news/crime/498181/boonsong-faces-arraignment-tuesday

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มาภาพ: http://www.bangkokpost.com/news/crime/498181/boonsong-faces-arraignment-tuesday

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2558 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะผู้พิพากษา ในคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวก รวม 21 คน เป็นจำเลย กรณีร่วมกันทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ในคดีหมายเลขดำที่ อม. 25/2558 ได้นัดคู่ความทั้ง 2 ฝ่าย มาตรวจบัญชีพยานหลักฐาน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

นายบุญทรงให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า คู่ความยังตกลงเรื่องจำนวนพยานไม่ได้เนื่องจากต่างฝ่ายต่างอ้างพยานจำนวนมาก ทั้งพยานเอกสารกว่า 6 หมื่นแผ่น และพยานบุคคลฝ่ายละนับร้อยปาก ศาลจึงนัดให้มาพูดคุยตกลงกันทุกวันอังคาร และนัดพร้อมอีกครั้ง ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2558 เพื่อฟังคำสั่งว่าจะเริ่มต้นไต่สวนพยานหลักฐานในคดีนี้เมื่อใด

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบความเสียหายที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าว ที่มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เตรียมสรุปมูลค่าความเสียหายภายในวันที่ 31 กันยายน 2558 เพื่อเรียกให้ผู้เกี่ยวข้องชดใช้ นายบุญทรงกล่าวว่า ต้องดูก่อนว่าตัวเลขที่สรุปมามีมูลค่าเท่าใด จากนั้นค่อยไปปรึกษากับทีมทนายความ แต่ยอมรับว่าอาจใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลปกครอง

“ยิ่งลักษณ์” ยื่นศาลอาญาเอาผิด อสส. ปมสั่งฟ้องคดีจำนำข้าว

วันเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง อสส. ได้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ ในคดีหมายเลขดำที่ อม. 22/2558 ได้เดินทางไปที่ศาลอาญา เพื่อยื่นฟ้องนายตระกูล วินิจนัยภาค อสส. กับพวก ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 200 และมาตรา 83 โดยเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันรวม 3 กรณี ดังต่อไปนี้

  1. การที่ อสส. มีความเห็นชี้ข้อไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะดำเนินคดีได้รวม 4 ข้อ อันประกอบไปด้วย ประเด็นปัญหาเรื่องโครงการรับจำนำข้าว ประเด็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ประเด็นเรื่องการทุจริต และประเด็นอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ซึ่งเป็นคุณกับตน แต่กลับไม่ได้ไต่สวนให้เสร็จสิ้นตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 และภายหลังกลับมีความเห็นสั่งฟ้อง 1 ชั่วโมง ก่อนการพิจารณาถอดถอนตนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
  1. การบรรยายฟ้องของ อสส. ที่ยื่นฟ้องตนต่อศาลฎีกาฯ มีการเพิ่มเติมข้อกล่าวหาจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหาเดิมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โดยไม่มีข้อกล่าวหาว่าทุจริต หรือสมยอมให้ทุจริต แต่คำฟ้องของ อสส. กลับบรรยายว่าตนรู้เห็นและสมยอมให้เกิดการทุจริต ซึ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น
  1. ในชั้นพิจารณาของศาล อสส. กลับนำเอกสารที่ไม่มีการไต่สวนในชั้น ป.ป.ช. และในชั้นคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสุดและ ป.ป.ช. ในคดีที่กล่าวหาดิฉันเข้ามาในสำนวนจำนวนกว่า 60,000 แผ่น ซึ่งถือเป็นการนำเอกสารนอกสำนวนเข้ามาในสำนวนโดยมิชอบ

“การดำเนินการของอัยการสูงสุดทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงจำเป็นต้องรักษาสิทธิและใช้สิทธิตามกฎหมายที่ต้องฟ้องร้องกับทุกกรณีที่เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม และไม่เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ระเบียบ และหลักนิติธรรม” เอกสารสรุปคำฟ้องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุ


ป.ป.ช. ชี้มูล”เจริญโรจน์ ลั่นทมทอง(รัตนวิจัย)”อดีตผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ทำหน้าที่ส่อไปในทางทุจริต

$
0
0
 นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)

วันนี้ (30 กันยายน 2558) เวลา 14.00 น. นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ได้แถลงถึงมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 702-74/2558 ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหานายเจริญโรจน์ ลั่นทมทอง หรือรัตนวิจัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา เรียกและรับเงินจากจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.244/2543 ของศาลฎีกา และได้เขียนความเห็นช่วยเหลือจำเลยให้ไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง

นอกจากนี้ยังเห็นว่า ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา (ผู้ช่วยใหญ่) มีอำนาจหน้าที่ ทางวิชาการในการตรวจสอบความถูกต้องของร่างคำพิพากษาและคำสั่งของศาลฎีกา ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนทำความเห็นช่วยเหลือจำเลยมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และปฏิบัติหน้าที่ราชการส่อไปในทางทุจริต ไปพบผู้พิพากษาที่รับโอนสำนวนก่อนยกร่างคำพิพากษาและติดตามร่างคำพิพากษาอย่างใกล้ชิดผิดปกติวิสัยของผู้ช่วยผู้พิพากษา (ผู้ช่วยใหญ่) ทำบันทึกทักท้วงผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเพื่อให้ศาลฎีกามีคำพิพากษารอการลงโทษ โดยอ้างอิง คำพิพากษาประกอบบันทึกทักท้วง ซึ่งมิได้มีข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงกับคดีนี้ และแนบคำแถลงขอรอการลงโทษจำคุกพร้อมเอกสารและภาพถ่ายการประกอบคุณงามความดีของจำเลยไปท้ายร่างคำพิพากษาเพื่อช่วยเหลือจำเลย มิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง

จากพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า การกระทำของนายเจริญโรจน์ ผู้ถูกกล่าวหา เป็นการกระทำความผิดอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาแก่นายเจริญโรจน์ ผู้ถูกกล่าวหา ตามมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542

สำหรับการดำเนินการทางวินัยนั้น สำนักงานศาลยุติธรรมได้ดำเนินการทางวินัยและได้มีคำสั่ง ที่ 676/2545 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2545 ลงโทษไล่ผู้ถูกกล่าวหาออกจากราชการเสร็จสิ้นและเป็นไปโดยชอบแล้ว และไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่า การดำเนินการนั้นไม่เที่ยงธรรม กรณีจึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ถูกกล่าวหาอีกต่อไป

ป.ป.ช. ตั้งอนุไต่สวนเหมืองทอง “พิจิตร-พิษณุโลก-เพชรบูรณ์”ปมให้สัมปทานมิชอบ พ่วงจ่ายสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ

$
0
0
นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.

นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 เวลา 13.00 น. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ อ้างคำพูดของนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ระบุว่า ตามที่ตัวแทนของประชาชนผู้ร้องเรียนและผู้ได้รับความเดือดร้อน อันเนื่องจากการทำเหมืองแร่ทองคำในบริเวณพื้นที่ จ.พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่รอบบริเวณเหมืองแร่ทองคำ เนื่องจากการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ และในนาข้าว มาตั้งแต่ปี 2553 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก จึงได้เดินทางมาทวงถามความคืบหน้าของกรณีดังกล่าวที่เกี่ยวพันกับการทุจริตในการอนุมัติสัมปทานให้ขุดเหมืองแร่ทองคำโดยมิชอบนั้น

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของคดีดังกล่าวที่กระทบถึงชีวิตของประชาชนจำนวนมาก ประกอบกับได้มีพยานหลักฐานเบื้องต้นจากคณะกรรมการหลักทรัพย์และการลงทุนของประเทศออสเตรเลีย (ASIC) ที่ส่งมาให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเทศไทย ระบุว่า ได้พบบริษัทซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย และถูกร้องเรียนว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำการทุจริตในการขุดเหมืองแร่ทองคำ ในประเทศไทย โดยมีการโอนเงินจากประเทศออสเตรเลียมายังประเทศไทย ที่อาจเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการขอใบอนุญาตขุดเหมืองแร่ทองคำ หรือเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจเหมืองแร่ทองคำ และให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในประเทศไทย ทางสำนักงาน ก.ล.ต. จึงส่งข้อมูลดังกล่าวมายังสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช. ต่อไป

“เหตุนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีทุจริตในการทำเหมืองแร่ทองคำบริเวณพื้นที่จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ประกอบด้วยนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานฯ และมีอนุกรรมการ ได้แก่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. และผู้ทรงคุณวุฒิทั้งด้านกฎหมายและการต่างประเทศ เพื่อดำเนินการไต่สวนโดยเร่งด่วนต่อไป” เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ดังกล่าวระบุ

มหากาพย์นำเข้ารถหรู (8): “เกรย์มาร์เก็ต”ร้องป.ป.ช. ขอข้อมูลจ่ายภาษีนำเข้ารถหรู “2 ดีลเลอร์”จากกรมศุลกากร

$
0
0

เปรียบเทียบราคานำเข้ารถหรู1

จากกรณีที่กฎระเบียบคลุมเครือ เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเลือกได้ว่าจะ “สงสัย” หรือ “ไม่สงสัย” ผู้นำเข้าสำแดงราคาต่ำ โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจเจ้าหน้าที่ศุลกากร ช่วงปี 2551 มีชิปปิ้งรายใหญ่หลายรายเริ่มมองเห็นช่องทางการทำมาหากิน เปลี่ยนอาชีพจากตัวแทนผู้นำเข้า-ผู้ส่งออกในการผ่านพิธีการศุลกากร มาเป็น “ผู้นำเข้าอิสระ” หรือ “เกรย์มาร์เก็ต” สั่งนำเข้ารถยนต์หรูจากต่างประเทศมาขายให้โชว์รูมจำหน่ายรถยนต์

ปี 2552 ราคาสำแดงรถยนต์หรูที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรยอมรับและตรวจปล่อยรถยนต์ออกจากด่านศุลกากรปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง อาทิ เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น CLS 350 เดือนตุลาคม 2552 สำแดงราคาคันละ 762,337 บาท เดือนกันยายน 2553 สำแดงราคาคันละ 458,554 บาท หรือลดลง 303,783 บาท

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กรมศุลกากรเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าในอัตรา 328% (รวมภาษีสรรพสามิต และ VAT)

หากผู้นำเข้าอิสระสำแดงราคานำเข้าต่ำ ทุกๆ 100,000 บาท ทำให้ต้นทุนผู้นำเข้าลดลง 328,000 บาท อย่างกรณีนำเข้ารถเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น CLS 350 สำแดงราคาลดลง 303,783 บาท ช่วยประหยัดเงินค่าภาษีคันละ 996,408 บาท ส่วนต่างที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้โชว์รูมจำหน่ายรถยนต์ตั้งราคาขายรถยนต์ที่หน้าร้านต่ำกว่าตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หรูที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทผลิตรถยนต์โดยตรง

ปริมาณการนำเข้ารถหรู

หลังจากที่กระบวนการดังกล่าวแพร่พลาย จากเดิมมีชิปปิ้ง 4 ราย ในช่วงปลายปี 2552 มีชิปปิ้งรายเล็กๆในวงการเรียกกว่า “ชิปปิ้งผี” เปิดกิจการนำเข้ารถยนต์หรูกว่า 100 ราย

ช่วงปี 2552-2555 จึงถือเป็นยุคทองของ “เกรย์มาร์เก็ต” ราคารถยนต์หรูที่ผู้นำเข้าอิสระเหล่านี้สำแดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรทยอยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณนำเข้ารถยนต์หรูเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ปี 2553 มีการนำเข้ารถยนต์หรู 6,708 คัน ปี 2554 นำเข้ามา 11,025 คัน ปี 2555 นำเข้ามาอีก 12,831 คัน

จนกระทั่งมาถึงยุคของนายสมชาย พูลสวัสดิ์ เข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากรต่อจากนายประสงค์ พูนธเนศ นายสมชายใช้อำนาจในทางบริหารขอให้ผู้นำเข้าอิสระ หรือ “เกรย์มาร์เก็ต” ปรับราคานำเข้ารถยนต์หรูถึง 3 ครั้ง และดำเนินมาตรการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ปริมาณนำเข้ารถยนต์หรูเริ่มปรับตัวลดลง นายสมชายพยายามยกร่างแก้ไขคำสั่งกรมศุลกากรที่ 317/2547 แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายไป และนายสมชายถูกย้ายไปเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต

นางเบญจา หลุยเจริญ เข้ารับตำแหน่งแทนนายสมชาย ได้รับรายงานผลการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยการประเมินราคาศุลกากร หน่วยงานในสังกัดองค์การการค้าโลก (WTO) ว่ากรณีศุลกากรไทยใช้ฐานข้อมูลราคาสินค้ามากำหนดเป็นราคาขั้นต่ำ เพื่อใช้คำนวณภาษี ขัดแย้งกับข้อตกลงว่าด้วยการประเมินราคาศุลกากร นางเบญจาจึงสั่งให้สำนักมาตรฐานและพิธีการศุลกากรออกหนังสือเวียนแจ้งให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านศุลกากร ไม่ให้ใช้ราคาจากฐานข้อมูลราคาดังกล่าวมากำหนดเป็นราคาศุลกากร

ต่อมาในสมัยของนายราฆพ ศรีศุภอรรถ เป็นอธิบดีกรมศุลกากร ได้ออกคำสั่งกรมศุลกากรที่ 25/2557 แต่งตั้งคณะทำงานวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ (วปส.) แต่ยังไม่ทันได้ออกมาตรการอะไร นายราฆพถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง

นายสมชัย สัจจพงษ์ กลับมารับตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากรเป็นสมัยที่ 2 และในวันที่ 3 กันยายน 2557 นายสมชัยออกมาตรการตรวจสอบควบคุมการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป เข้าตรวจสอบการนำเข้ารถหรูอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเกรย์มาร์เก็ต หากสำแดงราคานำเข้าต่ำกว่า “ราคาทดสอบ” ไม่เกิน 2% ต้องส่งเรื่องให้ผู้อำนวยการส่วนเป็นผู้ลงนามอนุมัติการยอมรับราคาที่สำแดงเป็นราคาศุลกากร แต่ถ้าเป็น 2% ขึ้นไป ต้องส่งให้ผู้อำนวยการสำนักหรือนายด่านศุลกากรเป็นผู้ลงนามอนุมัติ

ทั้งนี้เพื่อให้การตรวจปล่อยรถยนต์หรูเป็นมาตรฐานเดียวกัน วันที่ 8 เมษายน 2558 นายสมชัย แต่งตั้ง “คณะกรรมการตรวจปล่อยรถยนต์ใหม่สำเร็จรูปที่นำเข้า” หรือ “ซูเปอร์บอร์ด” ดึงอำนาจการอนุมัติตรวจปล่อยรถยนต์หรูจากด่านศุลกากรทั่วประเทศเข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการชุดนี้ และดำเนินการตรวจสอบรถยนต์หรูที่นำเข้าโดยเกรย์มาร์เก็ตอย่างเข้มงวด ยกเว้นรถยนต์หรูที่นำเข้าโดยตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์โดยตรง 75 ราย มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ที่ประจำด่านศุลกากรดำเนินการตรวจปล่อยรถยนต์ตามปกติ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2558 พ.ต.อ. อิทธิพล กิจสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำหนังสือเลขที่ ปช 01.38/323ถึงนายสมชัย สัจจพงษ์ อดีตอธิบดีกรมศุลกากร โดยขอให้จัดส่งข้อมูลการเสียภาษีนำเข้ารถยนต์ของบริษัท Millennium Auto ผู้นำเข้ารถยนต์ยี่ห้อ Rolls-Royce, Aston Martin และ Mini Cooper และบริษัท City Automobile ผู้นำเข้ารถยนต์ยี่ห้อ Jaguar และ Land Rover ในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ถึงปัจจุบัน ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.

แหล่งข่าวจากกรมศุลกากร เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้ ป.ป.ช. ทำหนังสือขอข้อมูลตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หรู 2 ราย เนื่องจากมีบริษัทเกรย์มาร์เก็ตบางราย ทำหนังสือร้องเรียน ป.ป.ช. เนื่องจากตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หรูทั้ง 2 ราย ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์โดยตรง ที่ได้รับการยกเว้นการตรวจสอบจากซูเปอร์บอร์ด

ป.ป.ช. ตั้งส่วนประสานงานติดตามทรัพย์สินคดีทุจริตระหว่างประเทศ

$
0
0
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ที่มาภาพ :http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2012/10/24/images/news_img_475210_1.jpg

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ที่มาภาพ :http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2012/10/24/images/news_img_475210_1.jpg

เมื่อวันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2558 นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ป.ป.ช.) ร่วมเป็นเกียรติในกิจกรรมการเปิดส่วนประสานงานติดตามทรัพย์สินคืน (StAR/INTERPOL Global Focal Point on Asset Recovery) และส่วนประสานงานศูนย์ติดตามทรัพย์สินคืนระหว่างประเทศ (International Center for Asset Recovery : ICAR) เพื่อรองรับการประสานงานคดีทุจริตระหว่างประเทศที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามทรัพย์สินจากการทุจริตกลับคืนมายังประเทศไทย ณ ศูนย์ประสานงานคดีระหว่างประเทศ สำนักการต่างประเทศ สำนักงาน ป.ป.ช.

ตามที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention Against Corruption : UNCAC) คณะกรรมการ ป.ป.ช. เล็งเห็นว่าประเทศไทยควรมีหน่วยงานเพื่อเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาดังกล่าว ประกอบกับคดีทุจริตขนาดใหญ่มีความซับซ้อนมากขึ้นและมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินที่ได้จากการทุจริตไปยังต่างประเทศ จึงมีมติให้จัดตั้งศูนย์ประสานงานคดีระหว่างประเทศ (Thailand Anti-Corruption Coordination Center: TACC) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกกลางในการประสานงานและดำเนินการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในบทบาทการเป็นศูนย์กลางประสานงานคดีทุจริตระหว่างประเทศ รวมทั้งการติดตามทรัพย์สินคืน สอดคล้องกับบทบาทของ ป.ป.ช. ในฐานะเป็นองค์กรหลัก ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศ

ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ประสานงานคดีระหว่างประเทศ สำนักงาน ป.ป.ช. มีความร่วมมือในฐานะส่วนประสานงานการติดตามทรัพย์สินคืนกับองค์กรต่างๆ ได้แก่

1. ส่วนประสานงานติดตามทรัพย์สินคืน (StAR/INTERPOL Global Focal Point on Asset Recovery) (StAR/INTERPOL Global Focal Point on Asset Recovery) อันเป็นเครือข่ายที่เกิดจากความร่วมมือของ ธนาคารโลก (World Bank), สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UN Office on Drugs and Crime :UNODC) และองค์การตำรวจสากล (INTERPOL) ซึ่งเป็นระบบที่ประเทศสมาชิกสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างปลอดภัย ภายใต้เครือข่ายดังกล่าวจะระบุข้อมูลของอาชญากรที่เป็นที่ต้องการจับกุมในลักษณะหมายอินเตอร์โพล (Interpol Notices) เพื่อให้ประเทศสมาชิกที่อาชญากรหลบซ่อนอยู่ สามารถทำการจับกุมเพื่อส่งตัวมาดำเนินคดียังประเทศที่เกิดการกระทำความผิด โดยขณะนี้ อยู่ในระหว่างดำเนินการให้มีหมายสีใหม่ ได้แก่ หมายสีทอง ซึ่งเป็นหมายที่ใช้ระบุทรัพย์สินจากการกระทำความผิด รวมถึงลักษณะ แหล่งที่อยู่ และข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีทุจริต

2.ส่วนประสานงานศูนย์ติดตามทรัพย์สินคืนระหว่างประเทศ (International Center for Asset Recovery : ICAR) ซึ่งเป็นความก้าวหน้าจากบันทึกความเข้าใจระหว่าง สำนักงาน ป.ป.ช. และ สถาบัน Basel Institute on Governance ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อประสานความร่วมมือทางด้านคดี ด้านกฎหมายในเบื้องต้น เกี่ยวกับความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางอาญา การสืบสวนสอบสวน การติดตาม ยึด อายัด และริบทรัพย์สินจากการทุจริตกลับคืน

สำรวจรายชื่อผู้สมัครเป็น ป.ป.ช. จาก 59 คน เป็น ขรก. พลเรือนมากสุด เชี่ยวชาญงานกฎหมาย 23 คน –ถ้าได้เป็นอยู่ยาว 9 ปี

$
0
0

ผลการเปิดรับสมัครผู้เสนอตัวเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำนวน 5 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการ ป.ป.ช. รวม 5 คน ที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี ซึ่งเปิดให้ยื่นใบสมัครระหว่างวันที่ 23 กันยายน – 2 ตุลาคม 2558 ถือว่าคึกคักเป็นอันมาก เมื่อมีผู้มีชื่อเสียงและประสบการณ์จากหลากหลายวงการยื่นใบสมัครรวมกันถึง 59 คน นั่นหมายความว่า โอกาสการที่ผู้สมัครจะได้รับเลือกให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ที่อัตราส่วน 1:11.8 คน(ดู รายชื่อผู้สมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งหมด)

กรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบัน ที่ 5 คนด้านบนกำลังจะพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากอยู่ครบวาระเก้าปี เหลืออยู่เพียง 4 คนด้านล่างที่จะทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันต่อไป ที่มาภาพ: http://www.nacc.go.th/

กรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบัน ที่ 5 คนด้านบนกำลังจะพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากอยู่ครบวาระเก้าปี เหลืออยู่เพียง 4 คนด้านล่างที่จะทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันต่อไป ที่มาภาพ: http://www.nacc.go.th/

หากพิจารณาเฉพาะเรื่องของ “จำนวน” แม้ผู้สมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งนี้ จะมีมากถึง 57 คน แต่ก็ไม่มากที่สุดเมื่อเทียบกับการเปิดรับสมัครเป็นกรรมการองค์กรอิสระอื่นๆ ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ (ศาล รธน.) กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) หรือผู้ตรวจการแผ่นดิน

ขณะที่อัตราส่วนการแข่งขัน 1:11.8 ก็ยังไม่ถือว่าเข้มข้นที่สุด

โดยตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา หรือระหว่างปี 2554-2558 มีการเปิดรับสมัครกรรมการองค์กรอิสระรวมทั้งสิ้น 11 ครั้ง

ปี 2554 (ไม่มีการสรรหากรรมการองค์กรอิสระ)

ปี 2555 (ไม่มีการสรรหากรรมการองค์กรอิสระ)

ปี 2556 (มี 4 ครั้ง)

  • รับสมัครตุลาการศาล รธน. จำนวน 1 คน แทนนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ที่ลาออก มีผู้สมัคร 9 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:9 (นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ได้รับเลือก)
  • รับสมัครกรรมการ กกต. จำนวน 3 แทนกรรมการ กกต. ชุดเก่าที่ครบวาระดำรงตำแหน่ง 7 ปี มีผู้สมัคร 42 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:14 (นายสมชัย ศรีสุทธิยากร นายบุญส่ง น้อยโสภณ และนายประวิช รัตนเพียร ได้รับเลือก)
  • รับสมัครผู้ตรวจการแผ่นดิน จำนวน 1 คน แทนนายประวิช รัตนเพียร ที่ลาออกไปเป็นกรรมการ กกต. มีผู้สมัคร 17 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:17 (นายพรเพชร วิชิตชลชัย ได้รับเลือก)
  • รับสมัครกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 1 คน แทนนายกล้านรงค์ จันทิก ที่มีอายุครบเจ็ดสิบปี มีผู้สมัคร 10 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:10 (นายณรงค์ รัฐอมฤต ได้รับเลือก)

ปี 2557 (มี 4 ครั้ง)

  • รับสมัครผู้ตรวจการแผ่นดิน 1 คน แทนนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ที่ครบวาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี มีผู้สมัคร 16 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:16 (ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ได้รับเลือก)
  • รับสมัครกรรมการ ป.ป.ช. 1 คน แทนนายใจเด็ด พรไชยา ที่อายุครบ 70 ปี มีผู้สมัคร 14 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:14 (น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ได้รับเลือก)
  • รับสมัครเป็นกรรมการ คตง. ชุดแรก จำนวน 7 คน หลังแก้ไขปัญหาข้อกฎหมายที่ทำให้ไม่สามารถสรรหาได้สำเร็จ มีผู้สมัคร 31 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:4.4 (นายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินท์, นางอุไร ร่มโพธิหยก, นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม, นายสุทธิพล ทวีชัยการ, นางจิรพร มีหลีสวัสดิ์, นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร, และนายวิทยา อาคมพิทักษ์ ได้รับเลือก)
  • รับสมัครผู้ตรวจการแผ่นดิน จำนวน 1 คน แทนนายพรเพชร วิชิตชลชัย ที่ลาออกไปเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีผู้สมัคร 21 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:21 (พล.อ. วิทวัส รชตะนันทน์ ได้รับเลือก)

ปี 2558 (มี 3 ครั้ง)

  • รับสมัครกรรมการ กสม. จำนวน 7 คน แทนกรรมการ กสม. ชุดเดิมที่ครบวาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี มีผู้สมัคร 121 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:17.2 (นางฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง, นายบวร ยสินทร, นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์, นายวัส ติงสมิตร, นพ.ศุภชัย ถนอมทรัพย์, นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย และนางอังคณา นีละไพจิตร ได้รับเลือก)
  • รับสมัครกรรมการ กสม. รอบสอง แทนนายบวร ยสินทร และ นพ.ศุภชัย ถนอมทรัพย์ ซึ่งที่ประชุม สนช. ไม่ให้ความเห็นชอบ มีผู้สมัคร 63 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:31.5 (นางเตือนใจ ดีเทศน์ และนายชาติชาย สุทธิกลม ได้รับเลือก)
  • รับสมัครตุลาการศาล รธน. แทนนายเฉลิมพล เอกอุรุ ที่มีอายุครบเจ็บสิบปี มีผู้สมัคร 10 คน อัตราส่วนการแข่งขัน 1:10 (นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ได้รับเลือก)

แต่แม้จะมีจำนวนผู้สมัครไม่มากที่สุด และมีอัตราการแข่งขันอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเปิดรับสมัครผู้เสนอตัวเข้าสรรหากรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 5 คน (มากกว่าครึ่งของกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งหมด คือ 9 คน) ครั้งนี้ ก็ยังคงเป็นที่จับตาอยู่ดี ด้วยการทำงานของ ป.ป.ช. ในช่วงเวลาที่ผ่านมาส่งผลต่อการเมืองของประเทศค่อนข้างมาก เห็นได้จากการที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งถูกศาลตัดสินให้จำคุกและยึดทรัพย์เป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท ขณะที่ยังมีอดีตนายกฯ 2 คน อยู่ระหว่างการต่อสู้คดีที่เกิดขึ้นจากการริเริ่มไต่สวนโดย ป.ป.ช. ในชั้นศาล

ทั้งนี้ หากนำผู้สมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. มาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ ก็จะพบว่า มาจาก “ข้าราชการพลเรือน” มากที่สุดถึง 22 คน (เป็นระดับปลัดกระทรวง 3 คน รองปลัดกระทรวง 2 คน และอธิบดีกรมอีก 6 คน) ตามมาด้วยศาล 7 คน ทหาร 5 คน ผู้ว่าราชการจังหวัด 5 คน นักการเมือง 4 คน อัยการ 4 คน องค์กรอิสระ 4 คน ตำรวจ 2 คน นักวิชาการ 2 คน เอกชน 2 คน สื่อมวลชน 1 คน และทนายความ 1 คน

เมื่อแยกตามความเชี่ยวชาญ พบว่าส่วนใหญ่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารราชการ 26 คน ด้านกฎหมาย 23 คน ด้านการจัดทำบัญชี/งบประมาณ 4 คน ด้านวิชาการ 2 คน ด้านประชาสังคม 2 คน และด้านอื่นๆ อีก 2 คน

น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้ยื่นใบสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย ก่อนหน้านี้ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เคยเอ่ยปากชม น.ส.ชุติมาว่าเป็นหนึ่งในยอดวีรสตรี กรณีที่เป็นพยานให้ข้อมูลในคดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) จน ป.ป.ช. สามารถชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ที่มาภาพ: http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1408595346

น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้ยื่นใบสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย ก่อนหน้านี้ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เคยเอ่ยปากชม น.ส.ชุติมาว่าเป็นหนึ่งในยอดวีรสตรี กรณีที่เป็นพยานให้ข้อมูลในคดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) จน ป.ป.ช. สามารถชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ที่มาภาพ: http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1408595346

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากรรมการ ป.ป.ช. มักถูกวิจารณ์ว่ามีแต่นักกฎหมาย กระทั่งสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ยังระบุไว้ในพิมพ์เขียวการปฏิรูปประเทศ หัวข้อการปฏิรูปองค์กรอิสระ ว่าต้องทำให้กรรมการ ป.ป.ช. มีที่มาให้หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่เฉพาะผู้พิพากษา/นักกฎหมาย ยังต้องรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทั้งด้านรัฐศาสตร์ ด้านการเงินการบัญชีและเศรษฐศาสตร์ ด้านประชาสังคม (และสื่อมวลชน) ด้านการบริหารงานภาครัฐ ภาคเอกชน ฯลฯ เป็นต้น

จึงน่าสนใจว่า คณะกรรมการสรรหากรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้ ที่ต่างเป็นนักกฎหมายทั้งสิ้น (นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาล รธน. นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมอบหมาย) จะมีแนวทางในการพิจารณาคัดเลือก ป.ป.ช. ชุดที่สี่ สำหรับกรรมการ ป.ป.ช. ลำดับที่ 32-36 นี้อย่างไร

ใครได้เป็นอยู่ปราบโกงยาว 9 ปี – เงินเดือนเทียบเท่ารองนายกฯ/รัฐมนตรี

แม้ผู้สมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. แต่ละคน จะให้เหตุผลในการมาสมัครแตกต่างกัน แต่สาเหตุที่มีผู้สนใจอยากเป็นกรรมการ ป.ป.ช. จำนวนมาก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากบทบาทและอำนาจหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่สังคมไทยดูเหมือนจะตั้งความหวังกับ ป.ป.ช. ไว้ค่อนข้างสูง เห็นได้จากการที่กฎหมายให้อำนาจ ป.ป.ช. ไว้อย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ตลอด 16 ปีที่ผ่านมา มีการแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ถึง 3 ครั้ง ที่แม้การแก้ไขแต่ละครั้งจะมาจากเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่ก็มีผลเป็นการขยายอำนาจของ ป.ป.ช. ไปโดยปริยาย

– การแก้ไขครั้งแรก เมื่อปี 2550 เปลี่ยนแปลงให้ในการไต่สวนคดีทุจริต ป.ป.ช. สามารถหยิบจากเรื่องที่เห็นเองว่ามีเหตุอันควรสงสัย หรือเรื่องที่บุคคลใดก็ได้ยื่นคำร้องเข้ามา จากเดิมที่กำหนดว่าต้องเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เท่านั้น (ว่ากันว่าเป็นการแก้ไขเพื่อให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ซึ่งใช้อำนาจตามกฎหมายของ ป.ป.ช. ในขณะนั้น ทำงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และไม่เกิดปัญหาในภายหลัง)

– การแก้ไขครั้งที่สอง เมื่อปี 2554 เพื่อให้สอดรับกับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่เปลี่ยนแปลงขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. หลายประการ อาทิ สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินจากสถาบันการเงินเพื่อประกอบการไต่สวนคดี, สั่งอายัดทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวในคดีร่ำรวยผิดปกติได้, จัดให้มีการคุ้มครองพยานและจ่ายเงินสินบนหรือเงินรางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแสได้, สามารถกันผู้ถูกกล่าวหาบางส่วนไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดีหากให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์, ให้หยุดนับอายุความหากผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีในชั้นศาล ฯลฯ

– การแก้ไขครั้งที่สาม เมื่อปี 2558 เป็นการแก้ไขเพื่ออนุวัติเนื้อหาให้สอดรับกับภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ. 2556 ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบัน ผลก็คือ ทำให้ ป.ป.ช. สามารถไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐต่างชาติได้หากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในไทย, เพิ่มโทษกรณีเรียกรับสินบนเป็นจำคุกสูงสุดตลอดชีวิต, กำหนดโทษปรับแก่นิติบุคคลกรณีที่ลูกจ้างหรือตัวแทนบริษัทไปให้สินบนกับเจ้าหน้าที่รัฐ, ให้หยุดนับอายุความหากผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีไปตั้งแต่ชั้นไต่สวน (จากเดิมให้หยุดนับเฉพาะเมื่อคดีขึ้นสู่ศาลแล้ว) ฯลฯ

ขณะเดียวกัน กรรมการ ป.ป.ช. ยังเป็นกรรมการองค์กรอิสระที่มีวาระการดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด คือ 9 ปี เทียบเท่ากับตุลาการศาล รธน. มากกว่ากรรมการ กกต. (7 ปี) ผู้ตรวจการแผ่นดิน (6 ปี) กรรมการ คตง. (6 ปี) กรรมการ กสม. (6 ปี)

สำหรับค่าตอบแทน ประธานกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ที่เดือนละ 119,420 บาท แบ่งเป็นเงินเดือน 74,420 บาท และเงินประจำตำแหน่ง 45,500 บาท (เทียบเท่ารองนายกรัฐมนตรี) ส่วนกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ที่เดือนละ 115,740 บาท แบ่งเป็นเงินเดือน 73,250 บาท และเงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท (เทียบเท่ารัฐมนตรี)

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. หนึ่งในคณะกรรมการสรรหาฯ ระบุว่า การสรรหากรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 5 คน จะต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 20 ตุลาคม 2558 ที่มาภาพ: http://news.voicetv.co.th/thailand/217179.html

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. หนึ่งในคณะกรรมการสรรหาฯ ระบุว่า การสรรหากรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 5 คน จะต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 20 ตุลาคม 2558 ที่มาภาพ: http://news.voicetv.co.th/thailand/217179.html

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. หนึ่งในคณะกรรมการสรรหากรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า คณะกรรมการสรรหาฯ จะต้องดำเนินการสรรหาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 ตุลาคม 2558 จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของ สนช. ในการพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติด้านจริยธรรมและความประพฤติในเชิงลึกอีก 30 วัน ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ก่อนที่จะนำรายชื่อผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นกรรรมการ ป.ป.ช. ขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป

ด้านนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็น 1 ใน 5 กรรมการ ป.ป.ช. ที่พ้นจากตำแหน่ง กล่าวว่า ก่อนที่กรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ช่วงปลายปี 2558 กรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันจะเร่งเคลียร์คดีสำคัญให้เสร็จสิ้น โดยมี 3 คดีความที่คาดว่าอนุกรรมการไต่สวนจะทำงานแล้วเสร็จแล้วส่งให้ที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ได้พิจารณาวินิจฉัยได้ ประกอบด้วย คดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอลในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, คดีสั่งสลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติโดยมิชอบ และคดีทุจริตก่อสร้างโรงพักทดแทนจำนวน 396 แห่งทั่วประเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

“ส่วนคดีที่คาดว่าจะทำไม่ทันจะทยอยส่งมอบให้กรรมการ ป.ป.ช. ที่เหลืออยู่ ได้แก่ นายปรีชา เลิศกมลมาศ พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง นายณรงค์ รัฐอมฤต และ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ร่วมถึงกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะเข้ามาใหม่ ให้ดำเนินการต่อไป”

ทั้งนี้ จะมีการแถลงผลการทำงานของ ป.ป.ช. ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา แต่ยังอยู่ระหว่างการหาเวลาที่เหมาะสม

ข้อสอบด่านแรก

พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 10 ได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการ ป.ป.ช. ไว้ รวม 9 ข้อ (หมายความว่าหากผู้สมัครคนใดมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน หรือมีลักษณะต้องห้ามแม้แต่ข้อเดียว ก็จะสอบตกตั้งแต่ด่านแรก ไม่สามารถเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ได้ทันที)

– คุณสมบัติ (4 ข้อ)

  1. ต้องเป็นผู้ซึ่งมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
  2. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
  3. มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปีบริบูรณ์
  4. เคยเป็นรัฐมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการพระธรรมนูญในศาลทหารสูงสุด กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุด อธิบดีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางบริหารในหน่วยราชการที่มีอำนาจบริหารเทียบเท่าอธิบดี หรือดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าศาสตราจารย์ หรือเคยเป็นทนายความ หรือผู้แทนองค์การพัฒนาเอกชน หรือผู้ประกอบวิชาชีพที่มีองค์กรวิชาชีพตามกฎหมายโดยประกอบวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบปีนับถึงวันที่ได้รับการเสนอชื่อ ซึ่งสภาทนายความ หรือองค์การพัฒนาเอกชน หรือองค์กรวิชาชีพนั้นให้การรับรองและเสนอชื่อเข้าสู่กระบวนการสรรหา

– ลักษณะต้องห้าม (5 ข้อ)

  1. เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
  2. เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมืองในระยะสามปีก่อนดำรงตำแหน่ง
  3. เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลปกครอง หรือกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
  4. เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
  5. อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

ป.ป.ช. เผยผลตรวจสอบ “ปรีชา จันทร์โอชา”ไม่แจ้งบัญชีเท็จ ปมเงินฝากคู่สมรส

$
0
0
พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ที่มาภาพ : http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=68778&t=news

พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ที่มาภาพ : http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=68778&t=news

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ อ้างคำพูดของนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่กล่าวถึงผลการตรวจสอบการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ. ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในปี 2557 (ขณะนั้น พล.อ. ปรีชา ยังเป็นแม่ทัพภาคที่ 3) มีเนื้อหาโดยสรุปว่า

1. กรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่า พล.อ. ปรีชา ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. โดยระบุว่ามีเงินฝากทั้งหมด 10 บัญชี รวมเป็นเงิน 89.41 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝากในชื่อของ พล.อ. ปรีชา 5 บัญชี รวมเป็นเงิน 42.05 ล้านบาท และเงินฝากของสหกรณ์ออมทรัพย์ของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งมีชื่อ พล.อ. ปรีชา และนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา คู่สมรส เป็นเจ้าของบัญชี อีก 5 บัญชี รวมเป็นเงิน 46.99 ล้านบาท แต่ในหน้าสรุปรายละเอียดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกลับแจ้งว่า นางผ่องพรรณไม่มีเงินฝาก

จากการตรวจสอบ พบว่า พล.อ. ปรีชา มิได้แสดงรายการเงินฝากของคู่สมรสไว้ในหน้าสรุปรายละเอียดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ที่อยู่ในหน้า 5 แต่ได้แสดงไว้ในรายละเอียดเกี่ยวกับส่วนเงินฝาก ที่อยู่ในหน้า 6 และได้แนบเอกสารประกอบเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากของคู่สมรสมาพร้อมกับบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ด้วย กรณีนี้จึงมิได้เป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือมีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริง

2. กรณีที่มีการยื่นบัญชีเงินฝากของสหกรณ์ออมทรัพย์ของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่ง พล.อ. ปรีชาเคยชี้แจงว่า เป็นการยื่นบัญชีเงินฝากของหน่วยงานที่มีอำนาจลงนามสั่งจ่ายเพื่อใช้ในกิจการของราชการ แต่ไม่ใช่บัญชีเงินฝากของตน

พล.อ. ปรีชา มิได้นำบัญชีเงินฝากดังกล่าวมาแสดงว่าเป็นทรัพย์สินของตนแต่อย่างใด จึงถือได้ว่า พล.อ. ปรีชาได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินถูกต้องแล้ว ประกอบกับจากการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบของ พล.อ. ปรีชาและคู่สมรส ก็พบว่ามีทรัพย์สินและหนี้สินถูกต้องและมีอยู่จริงตามที่ได้ยื่นแสดง

“คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีที่ พล.อ. ปรีชาไม่ระบุรายการเงินฝากของคู่สมรสไว้ในหน้าสรุปรายละเอียดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ที่อยู่ในหน้า 5 นั้น ไม่ได้เป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือมีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริง ตามมาตรา 34 ของกฎหมาย ป.ป.ช. แต่อย่างใด” นายสรรเสริญกล่าว

ป.ป.ช. แถลงผลงาน 9 ปี ทำคดีจบ 2.6 หมื่นคดี ลุยทุจริตขายข้าว G to G ล็อตสาม เตรียมสรุปสำนวนคดี “โกง VAT-ฟุตซอล”

$
0
0
581019ปปช

คณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดแถลงข่าวผลการทำงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 9 ปี

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2558 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถนนสนามบินน้ำ จ.นนทบุรี คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้จัดงานแถลงข่าวเนื่องในโอกาสทำงานมาครบ 9 ปี นับแต่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 19 เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2549 โดยกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คน ได้ร่วมงานแถลงข่าวอย่างพร้อมเพรียง

ป.ป.ช. แถลงผลงาน 9 ปี ทำคดีจบ 2.6 หมื่นคดี – เผยรัฐเสียหาย 5 แสนล้าน

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า นับแต่ได้รับแต่งตั้งโดยประกาศ คปค. จนถึงปัจจุบัน มีกรรมการ ป.ป.ช. 4 คน พ้นจากการดำรงตำแหน่งเพราะมีอายุครบ 70 ปี ทำให้มีกรรมการ ป.ป.ช. เข้ามาใหม่ 4 คน และตนพร้อมด้วยกรรมการ ป.ป.ช. อีก 4 คน ได้แก่ นายภักดี โพธิศิริ นายประสาท พงษ์ศิวาภัย นายวิชัย วิวิตเสวี และนายวิชา มหาคุณ ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากดำรงตำแหน่งครบวาระเก้าปีแล้ว ปัจจุบัน อยู่ระหว่างรอให้กรรมการ ป.ป.ช. ใหม่ 5 คน ที่อยู่ระหว่างการสรรหาเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน ซึ่งคาดว่าจะเป็นภายในเดือนธันวาคม 2558 ระหว่างนี้เรื่องสำคัญก็จะพยายามทำให้เห็นหน้าเห็นหลัง เพื่อส่งมอบงานให้กรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่เข้ามาสานต่องานในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

“หลังจากนั้นพวกผมก็ต้องเซย์กู๊ดบาย” ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าว

นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า หลังจากตนเข้ารับตำแหน่งโฆษกของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อจากนายกล้านรงค์ จันทิก อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ก็พยายามปรับปรุงรูปแบบการประชาสัมพันธ์ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเน้นการเปิดเผยการทำงานของ ป.ป.ช. ยกเว้นเป็นกรณีที่หากเปิดไปแล้วอาจกระทบต่อสำนวนคดีหรือพยานหลักฐาน

นายวิชากล่าวถึงภาพรวมการทำงานในช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมาว่า นับแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้เข้ามารับตำแหน่งในปี 2549 ถึงปัจจุบัน มีคดีค้างเก่า 11,578 คดี คดีรับใหม่ 26,000 คดี รวมมีคดีที่ต้องพิจารณาทั้งสิ้น 37,578 คดี ดำเนินการแล้วเสร็จ 26,530 คดี คงเหลือ 11,048 คดี โดยคดีที่คงเหลืออยู่ในขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้น 8,836 คดี และขั้นตอนการไต่สวน 2,212 คดี จะเห็นได้ว่า ยังมีภาระหน้าที่ที่ ป.ป.ช. ต้องดำเนินการต่ออีก

โดยในส่วนของคดีที่เหลือ ผู้ถูกกล่าวหา 50% เป็นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 25% เป็นข้าราชการระดับกลาง (ซี 8 – ซี 9) 15% เป็นข้าราชการระดับล่าง (ซี 8 ลงไป) 10% เป็นข้าราชการระดับสูง (ซี 10 ขึ้นไป) และ 5% คืออื่นๆ เช่น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์กรอิสระ ศาล ฯลฯ

จะเห็นได้ว่า ภาระหนักคือผู้บริหาร อปท. ทั้งเทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ฯลฯ ซึ่งเราก็ยอมรับว่าหนักใจ แต่หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งห้ามเลือกตั้งผู้บริหาร อปท. ใหม่ในระหว่างนี้ ทำให้ ป.ป.ช. มีเวลาเข้าไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินที่ผู้บริหาร อปท. ยื่นเข้ามาในเชิงลึก และจะเริ่มดำเนินคดีร่ำรวยผิดปกติกับผู้บริหาร อปท. บางแห่ง

“ทั้งนี้ จากการสำรวจมูลค่าความเสียหายจากคดีทุจริตต่างๆ เฉพาะที่มีการชี้มูลระหว่างปี 2556-2558 รวม 193 คดี พบว่ายังมีรวมกันสูงถึง 5.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ 4 แสนล้านบาท รัฐวิสาหกิจ 1.2 แสนล้านบาท และ อปท. 168 ล้านบาท” นายวิชากล่าว

จากนั้น มีการเปิดโอกาสให้กรรมการ ป.ป.ช. แต่ละคนกล่าวถึงความคืบหน้าการไต่สวนคดีสำคัญที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเอง รวมทั้งสิ้น 23 คดี

ชงสำนวนโกง VAT ให้ ป.ป.ช. ชุดใหญ่แล้ว – คดีรถหรูยังไม่คืบ

นายวิชา มหาคุณ (6 คดี)

– คดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว มี 3 สำนวน

  • กรณีทุจริตขายข้าวแบบกับประเทศอินโดนีเซีย ผ่านองค์กรสำรองข้าวอินโดนีเซีย (บูล็อก) ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา อยู่ระหว่างเสนอให้ที่ประชุม ป.ป.ช. ขยายการไต่สวนไปยังบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ขององค์การคลังสินค้า (อคส.)
  • กรณีกล่าวหาอดีตผู้อำนวยการ อคส. ทุจริตขายข้าว อยู่ระหว่างการไต่สวน
  • กรณีกล่าวหาอดีตผู้อำนวยการ อคส. เรียกรับสินบน อยู่ระหว่างการไต่สวน

คดีจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองโดยมิชอบ ปัจจุบัน ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินทางมารับทราบและชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเกือบหมดแล้ว มีเพียงบางคนที่ยังขอขยายเวลาในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา คาดว่าจะสรุปสำนวนได้ภายในปี 2558

– คดีสั่งสลายการชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 โดยมิชอบ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นผู้ถูกกล่าวหา สอบพยานครบทุกปากแล้ว เหลือเพียงรอเอกสารบางอย่างจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็สามารถสรุปสำนวนได้ทันที

คดีเหมืองทองคำ ได้เสนอที่ประชุม ป.ป.ช. ให้แก้ข้อกล่าวหาให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยจะไต่สวนกรณีการให้สินบนข้ามชาติ โดยมีบริษัทเอกชนจดทะเบียนในออสเตรเลีย มีการโอนเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐผ่านสถาบันการเงินทั้งในไทยและฮ่องกง

– คดีทุจริตก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ ได้ขยายผลไปไต่สวน พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ด้วย ขณะที่สำนวนในส่วนของนายสุเทพ อดีตรองนายกฯ ในฐานะประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.) เดิมจะสรุปสำนวนแล้ว แต่เมื่อศาลปกครอง จ.เชียงใหม่ มีคำพิพากษาเกี่ยวกับคดีนี้ จึงทำเรื่องขอคำพิพากษาดังกล่าวมาประกอบสำนวนคดีนี้ ทำให้ต้องเลื่อนเวลาการเสนอสำนวนเข้าที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ออกไปก่อน

– คดีทุจริตภายในสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ที่เดิมมีนายสมศักดิ์ ตาไชย อดีตเลขาธิการ สกสค. กับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา แต่ตนเตรียมเสนอที่ประชุม ป.ป.ช. ขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ รวมถึงบริษัทเอกชน เบื้องต้นคาดว่าจะต้องเรียกตัวแทนสโมสรเพื่อนตำรวจมาให้ถ้อยคำเรื่องเส้นทางการเงินด้วย

นายภักดี โพธิศิริ (2 คดี)

– คดีทุจริตขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มูลค่า 4 พันล้านบาท ที่มีนายสาธิต รังคศิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร กับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา มี 2 สำนวนแยกตามพื้นที่ ในพื้นที่ กทม. สรุปสำนวนเสร็จแล้วรอส่งให้ที่ประชุม ป.ป.ช. พิจารณา แต่พื้นที่ จ.สมุทรปราการ ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน

– คดีเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์หรู ที่มีนายราฆพ ศรีศุภอรรถ อดีตอธิบดีกรมศุลกากร กับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน เพราะเกี่ยวข้องกับบุคคลและรถยนต์จำนวนมาก นอกจากนี้ ยังต้องประสานต่างประเทศเพื่อขอเปรียบเทียบราคารถยนต์หรูดังกล่าวว่ามีการสำแดงราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงหรือไม่

(อ่านซีรีส์ข่าว มหากาพย์นำเข้ารถหรู ของสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า)

ลุยสอบเส้นทางการเงินคดี G to G ล็อตสาม

นายประสาท พงษ์ศิวาภัย (2 คดี)

– คดีทุจริตขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางปราณี ศิริพันธ์ อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้ถูกกล่าวหา อยู่ระหว่างการไต่สวน พฤติการณ์ในคดีนี้ใกล้เคียงกับคดีทุจริตขายข้าว G to G รวม 2 ล็อตแรก ที่ส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว โดยสำนวนนี้มีบริษัทเอกชนจีนเกี่ยวข้อง 4 บริษัท มีแคชเชียร์เช็คเกี่ยวข้อง 1,822 ฉบับ รวมมูลค่า 96,390 ล้านบาท อยู่ระหว่างจัดกลุ่มและตรวจสอบเส้นทางการเงิน แต่มีแคชเชียร์เช็ครวมมูลค่า 1,500 ล้านบาท ที่บริษัทเอกชนไทยแห่งหนึ่งทำเรื่องขอคืนจากกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องตรวจสอบต่อไปว่าเกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนที่เป็นจำเลยในคดีที่มีการส่งฟ้องศาลฎีกาฯ ไปแล้วหรือไม่ ถ้าพบว่าเกี่ยวข้องอาจต้องอายัดไว้ก่อน

(อ่าน ความคืบหน้าคดีทุจริตขายข้าว G to G ล็อตแรก และการชี้มูลของ ป.ป.ช. ในล็อตที่สอง)

– คดีทุจริตก่อสร้างบ้านเอื้ออาทร มี 5 โครงการ ทำเสร็จไปแล้ว 1 โครงการ เหลืออีก 4 โครงการ ทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการไต่สวน โดยจะมีการเชิญบริษัทเอกชนผู้เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำเพิ่มเติม เพื่อดูว่าจะสานไปถึงระดับรัฐมนตรีได้หรือไม่

นายวิชัย วิวิตเสวี (3 คดี)

– คดีกล่าวหาอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโยกย้ายข้าราชการมิชอบ คณะอนุกรรมการไต่สวนได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาเดินทางมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว อยากจะสรุปสำนวนให้เสร็จในปี 2558 ก่อนพ้นจากตำแหน่ง

– คดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุต้องสงสัย GT200 จากอังกฤษ แม้จะได้ข้อสรุปชัดเจนว่าเครื่อง GT200 ไม่มีประสิทธิภาพ แต่เป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบว่าการจัดซื้อดังกล่าวเป็นไปโดยมิชอบหรือไม่ ทั้งนี้ แม้ทางการอังกฤษได้ปฏิเสธการให้เอกสารทางเทคนิคกับ ป.ป.ช. เพราะคดีนี้ในไทยมีโทษสูงถึงประหารชีวิต แต่คาดว่าจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2558

– คดีเปลี่ยนองค์คณะพิจารณาคดีเขาพระวิหารของศาลปกครอง เมื่อปี 2551 โดยมิชอบ ได้สรุปสำนวนให้ที่ประชุม ป.ป.ช. พิจารณาไปแล้วเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน แต่ถูกตีกลับมาให้ตรวจสอบยืนยันข้อมูลอีก 1-2 จุด คาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนได้เร็วๆ นี้ก่อนพ้นจากตำแหน่ง ปัจจุบัน มีผู้ถูกกล่าวหาเพียงรายเดียวคือนายจรัญ หัตถกรรม อดีตหัวหน้าคณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด เพราะพยานหลักฐานไม่ถึงนายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด

เตรียมสรุปสำนวนคดีฟุตซอล – แจ้งข้อหา “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ร่ำรวยผิดปกติ เดือนหน้า

นายปรีชา เลิศกมลมาศ (3 คดี)

– คดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความคืบหน้า 80% มีโรงเรียนใน จ.นครราชสีมา มุกดาหาร และอำนาจเจริญ เกี่ยวข้อง 70 แห่ง สอบปากคำพยานไปแล้ว 240 ปาก แจ้งคำสั่งกับผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว 105 คน โดยมีหนึ่งคนเป็นอดีต ส.ส. คาดว่าจะใช้เวลาเก็บตกอีก 1-2 เดือน ถึงจะสรุปสำนวนได้

– คดีกล่าวหานายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ทุจริต มีความคืบหน้า 90% คาดว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาได้เร็วๆ นี้ ส่วนคดีร่ำรวยผิดปกติ เมื่อปี 2557 ศาลแพ่งได้มีคำสั่งไปแล้วว่าให้ทรัพย์สินของนายสุพจน์ 46 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

– คดีกล่าวหานายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ร่ำรวยผิดปกติ จะแจ้งข้อกล่าวหาในเดือนพฤศจิกายน 2558 ปัจจุบันนายธาริตได้ยื่นฟ้องศาลให้เอาผิดคณะอนุกรรมการไต่สวนทั้ง 9 คน ศาลชั้นต้นยกคำร้อง แต่มีการอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์จะพิจารณาคดีในเดือนพฤศจิกายน 2558 เช่นกัน

นายณรงค์ รัฐอมฤต (2 คดี)

– คดีตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอดีตรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 5 คน ได้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ, นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯ, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์, นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายยรรยง พวงราช อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีความคืบหน้า 80% คาดว่าจะสรุปสำนวนในส่วนของนายภูมิและนายยรรยงได้ภายในปี 2558 ส่วนสำนวนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายนิวัฒน์ธำรง และนายบุญทรง จะสรุปสำนวนต้นปี 2559

– คดีทุจริตขายข้าวสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มี 3 สำนวน กรณีกล่าวหานางพรทิวา นาคาศัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขายข้าวต่ำกว่าราคาตลาดและไม่อนุมัติบริษัทเอกชนบางรายเข้าร่วมการประมูล ได้ยกคำร้องไปแล้ว เพราะข้อกล่าวหาไม่มีมูล ปัจจุบันจึงเหลือเพียงสำนวนขอให้ถอดถอนนางพรทิวา กับนายวีระศักดิ์ จินารัตน์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เท่านั้น

เตรียมแจ้งข้อหาคดีปาล์มน้ำมัน ปตท. – บี้แก้โกงท้องถิ่น

พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง (2 คดี)

– คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซีย มีนายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตผู้บริหาร บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เป็นผู้ถูกกล่าวหา โดยเป็นคดีที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ยื่นคำร้องมายัง ป.ป.ช. เองตั้งแต่ปี 2556 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานและไต่สวนพยานบุคคล โดยล่าสุด นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ซีอีโอ PTT ในฐานะอดีตซีอีโอ PTTEP เพิ่งเดินทางมาให้ถ้อยคำ ยังเหลือพยานบุคคลปากสำคัญที่ต้องเดินทางมาให้ถ้อยคำภายในตุลาคม 2558 หลังจากนั้นคาดว่าจะสรุปสำนวนเพื่อดูว่าจะแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลใดได้

– คดีทุจริตก่อสร้างฝายแม้ว ที่มีนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2551 เดิมมีการทำเป็นสำนวนเดียว แต่เนื่องจากเหตุเกิดในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จ.แพร่ ตาก พิษณุโลก เชียงราย และเชียงใหม่ จึงให้สำนักงาน ป.ป.ช. แต่ละจังหวัดไปรวบรวมข้อเท็จจริง จังหวัดใดเสร็จแล้วก็ให้ส่งเข้ามา โดยคดีนี้จะดำเนินการกับผู้ถูกกล่าวหาใน 2 ส่วน คือ ฝ่ายนโยบายกับฝ่ายปฏิบัติ ก่อนหน้านี้มีฝ่ายปฏิบัติถูกแจ้งข้อกล่าวหาไป 20 กว่าคน หลังจากนี้จะดูว่าฝ่ายนโยบายมีใครเกี่ยวข้องบ้าง

นางสาวสุภา ปิยะจิตติ (3 คดี)

– คดีทุจริตขายมันสำปะหลัง G to G ที่มีนายบุญทรงกับพวก รวม 36 คน เป็นผู้ถูกกล่าวหา เบื้องต้นพบว่าบริษัทเอกชนจีนที่มาขอซื้อไม่ใช่ตัวแทนรัฐบาลจีน แต่มาอ้างว่าเป็นตัวแทนรัฐบาลจีน เพื่อขอซื้อมันสำปะหลังแบบ G to G ที่จะได้ราคาถูกกว่าปกติ แล้วก็นำไปขายต่อให้กับบริษัทเอกชนไทย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการไต่สวนพยานบุคคลและเอกชน โดยเฉพาะการตามรอยเส้นทางการเงินของแคชเชียร์เช็คกว่า 2,000 ฉบับ

– คดีทุจริตเงินอุดหนุน อบจ. สมุทรปราการ ที่มีนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายก อบจ.สมุทรปราการ กับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา โดยส่งเงินไปอุดหนุนวัดกว่า 80 วัด รวม 800 ล้านบาท อ้างว่าจะนำไปทำเมรุเผาศพ ก่อนจะพาเจ้าอาวาสไปหักหัวคิว คาดว่าจะสรุปสำนวนได้เร็วๆ นี้

– คดีพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยมิชอบ ได้รับมอบหมายจากที่ประชุม ป.ป.ช. ให้เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน โดยคดีนี้มีองค์คณะเป็นผู้ไต่สวน เพราะเป็นคดีสำคัญ

“ปัจจุบันได้รับมอบหมายให้ดูแลการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของ อปท. ซึ่งพบปัญหาเยอะมาก ทั้งไม่ยื่นเอกสาร ยื่นเอกสารไม่ครบ หรือไม่ยื่นเอกสารรายการแสดงการเสียภาษี จึงขออนุมัติจากที่ประชุม ป.ป.ช. ว่า ถ้า อปท. แห่งใดเตือนไป 3 ครั้ง แล้วยังไม่ยื่นจะทำเป็นคดีส่งให้ศาลฎีกาฯ ทันที ทั้งนี้ ตั้งแต่สมัยอยู่ในกระทรวงการคลังก็พบว่ามี อปท. ถึง 3 พันแห่งจากทั้งหมด 7.8 พันแห่ง ที่จัดทำบัญชีรายจ่ายไม่เรียบร้อย ปิดงบไม่สำเร็จ แสดงถึงความไม่บริสุทธิ์ใจ ส่วนตัวมองว่าถ้าแก้ปัญหาเรื่องการทำบัญชีของ อปท. ได้ จะช่วยปัญหาการทุจริตได้เยอะมาก จึงคิดว่า ในอนาคตจะกำหนดว่า หาก อปท. ไหนปิดงบไม่ทัน จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทันที” นางสาวสุภากล่าว

ชง กรธ. ขอขยายอำนาจช่วยสกัดทุจริตเชิงนโยบาย

นายปานเทพ ยังกล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เดินทางไปให้ความคิดเห็นเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญ ต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2558 ว่า ได้ยืนยันสิ่งที่อยากให้ ป.ป.ช. เป็น 2 เรื่อง คือ ให้ ป.ป.ช. ยังคงเป็นองค์กรอิสระที่ทำงานโดยปราศจากการแทรกแซง และให้ ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานหลักในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน โดยให้คงอำนาจไว้เหมือนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ทุกประการ

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอแนะแก้ไขปัญหาการทำงานของ ป.ป.ช. ที่ผ่านมา รวม 3 ข้อ คือ

1. ให้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยอื่นๆ ทั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน และกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะมีภารกิจที่ใกล้เคียงกันในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน

2. ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริตที่เกิดจากนโยบายของภาครัฐ หรือที่เรียกกันว่า “ทุจริตเชิงนโยบาย” โดยให้ กกต. ไปดูตั้งแต่การประกาศว่าจะทำ และให้ ป.ป.ช. เข้าไปดูเมื่อเริ่มดำเนินการแล้ว ว่าโครงการใด หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่มีมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตคอร์รัปชัน จะไม่สามารถดำเนินการต่อได้

3. ให้คำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ผูกพันทุกองค์กรต้องปฏิบัติตาม เพราะขณะนี้บางหน่วยงานมีระเบียบของตัวเอง ทำให้แม้ ป.ป.ช. จะชี้มูลความผิดก็ไม่สามารถนำตัวบุคคลดังกล่าวมาลงโทษได้ หรือแม้ถอดถอนออกจากตำแหน่งหนึ่งแล้วก็ยังไปดำรงตำแหน่งอื่นได้อีก

ด้านนายวิชากล่าวว่า เบื้องต้น กรธ. ก็มองว่าจะให้ ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานกลางในการรับร้องเรียนคดีทุจริตทั้งหมดทั้งมวล โดยสามารถแจกจ่ายไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ตำรวจ หรือต้นสังกัดของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อให้ ป.ป.ช. มีเวลาในการพิจารณาคดีใหญ่ๆ ที่มีผลกระทบในวงกว้างและประชาชนให้ความสนใจ ส่วนคดีเล็กๆ ก็มอบหมายให้หน่วยงานอื่นไปดำเนินการแทน

ทั้งนี้ ป.ป.ช. ยังได้เสนอต่อ กรธ. ให้เขียนไว้ในหมวดว่าด้วยการปกครองท้องถิ่นว่า ผู้บริหาร อปท. รายใดที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูล จะย้ายไปดำรงตำแหน่งใน อปท. อื่นไม่ได้ เพราะปัจจุบันยังมีช่องโหว่ของกฎหมายที่ทำให้เกิดการวนตำแหน่ง เมื่อถูก ป.ป.ช. ชี้มูลก็ย้ายไปอยู่ใน อปท. อื่น ไม่รวมถึงกรณีอื่นที่เราเสนอต่อ กรธ. ไปว่า หากเกิดความขัดแย้งระหว่างองค์กรเรื่องอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. อยากให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ไม่ใช่ให้หน่วยงานนั้นๆ ที่มีระเบียบเฉพาะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ไม่เช่นนั้น เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลไปแล้วหน่วยงานนั้นไม่ปฏิบัติตาม สุดท้ายก็จะเอาใครมาลงโทษไม่ได้ แล้วคนก็จะไม่เคารพกฎหมาย เพราะมองว่า ป.ป.ช. ไร้น้ำยา


มติคณะกรรมการสรรหา เลือก “วิทยา-สุวณา-วัชรพล-สุรศักดิ์-บุณยวัจน์”เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ –ส่ง สนช. รับรอง

$
0
0

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2558 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมีนายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธาน มีนายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ร่วมเป็นกรรมการ (องค์ประกอบคณะกรรมการสรรหาฯ เป็นไปตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่ 12/2558) เพื่อคัดเลือกกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ จำนวน 5 คน จากรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการสรรหาทั้งสิ้น 59 คน ใช้เวลา 1 ชั่วโมงเศษ

ก่อนจะมีมติเลือก 1. นายวิทยา อาคมพิทักษ์ อดีตกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) 2. นางสาวสุวณา สุวรรณจูฑะ ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) 3. พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) 4. นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ และ 5. พล.อ. บุณยวัจน์ เครือหงส์ ประธานกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ซูเปอร์บอร์ด กสทช.) เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่

ทั้งนี้ ตามขั้นตอนคณะกรรมการสรรหาฯ จะต้องส่งรายชื่อดังกล่าวไปให้ สนช. ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบประวัติ ก่อนลงมติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่ หากให้ความเห็นชอบก็ส่งขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งต่อไป แต่หากไม่เห็นชอบก็ต้องไปเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ตั้งแต่ต้น

นางสาวสุวณา สุวรรณจูฑะ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่มาภาพ : http://www.dailynews.co.th/crime/351158

นางสาวสุวณา สุวรรณจูฑะ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่มาภาพ: http://www.dailynews.co.th/crime/351158

สำหรับประวัติผู้ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ ทั้ง 5 คน มีดังนี้

– นายวิทยา อาคมพิทักษ์ (อายุ 60 ปี) ความเชี่ยวชาญ: การบริหารราชการ

เริ่มรับราชการในกระทรวงมหาดไทย ก่อนโอนย้ายมาอยู่กับสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในปี 2525 ตั้งแต่ยังใช้ชื่อว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) ที่อยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี เติบโตในตำแหน่งจนได้เป็นถึงรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ก่อนลาออกไปเป็นกรรมการ คตง. หลังได้รับเลือกในปี 2557

– นางสาวสุวณา สุวรรณจูฑะ (อายุ 59 ปี) ความเชี่ยวชาญ: บัญชี, การบริหารราชการ

เริ่มรับราชการในกระทรวงยุติธรรมมาตลอด แม้จะจบการศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือเป็นนักบัญชีไม่ใช่นักกฎหมาย เคยเป็นอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ก่อนได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมกับเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในสมัยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และยังได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุม ครม. ให้เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมแทน พล.ต.อ. ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา

– พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ (อายุ 61 ปี) ความเชี่ยวชาญ: กฎหมาย, การบริหารราชการ

จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 29 ก่อนไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา ชีวิตราชการในวงการสีกากีมีความก้าวหน้าตามลำดับ กระทั่งได้เป็นรอง ผบ.ตร. และติดยศพลตำรวจเอก เมื่อ คสช. เข้ามาควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ในปี 2557 ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิก สปช. ก่อนจะมีคำสั่ง คสช. ที่ 7/2557 ให้ปฏิบัติราชการแทน พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ที่ถูกคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ จนเกษียณอายุราชการ

– นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร (อายุ 65 ปี) ความเชี่ยวชาญ: กฎหมาย

เป็นนักกฎหมายเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ชุดล่าสุด เคยเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 และอธิบดีศาลอาญากรุงเทพใต้

– พล.อ. บุณยวัจน์ เครือหงส์ (อายุ 63 ปี) ความเชี่ยวชาญ: บัญชี, ตรวจสอบภายใน

อดีตนักเรียนเตรียมทหาร (ตท.) รุ่นที่ 13 รับราชการในกระทรวงกลาโหมจนเกษียณอายุราชการ ส่วนใหญ่ได้รับมอบหมายให้ทำงานด้านบัญชีและงบประมาณ เคยเป็นผู้ช่วยปลัดบัญชีทหารบก ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบภายในทหารบก และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหม ได้รับเลือกให้เป็นซูเปอร์บอร์ด กสทช. เมื่อปี 2556

ทั้งนี้ กรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่จะมีวาระดำรงตำแหน่ง 9 ปี หรือจนถึงปี 2567 ยกเว้นกรณีที่เกษียณอายุเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์

ป.ป.ช. เล็งออกประกาศ รับกฎเหล็กปรับนิติบุคคลเอี่ยวจ่ายสินบน “2 เท่า” จากประโยชน์ที่ได้รับ

$
0
0
นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. ที่มาภาพ : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/517701

นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. ที่มาภาพ: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/517701

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2558 นายภักดี โพธิศิริ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ตามที่กฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ปี 2558 มาตรา 123/5 วรรคสอง กำหนดว่า นิติบุคคลใดที่มีผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือพนักงานไปให้สินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะต้องโดนโทษปรับ 1-2 เท่าของค่าเสียหายหรือประโยชน์ที่ได้รับจากสินบนนั้นหากพบว่าไม่มีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมเพียงพอ บทบัญญัตินี้ทำให้ภาคเอกชนตื่นตัวเป็นอย่างมาก โดยทราบว่าในการประชุมสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (ไอโอดี) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีการหยิบเรื่องนี้ไปคุยในที่ประชุม ป.ป.ช. จึงเห็นว่าควรจะกำหนดแนวทางในการปฏิบัติตามบทบัญญัติให้มีความชัดเจนมากยิ่ง จึงมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อศึกษาว่าจะวางหลักเกณฑ์ในการบังคับใช้อย่างไร โดยจะออกมาเป็นประกาศ ป.ป.ช. ต่อไป

แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ทาง ป.ป.ช. ได้หารือเบื้องต้นกับตัวแทนภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นไอโอดี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ฯลฯ ถึงการวางหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 123/5 วรรคสอง คาดว่าจะมีการจัดทำโฟกัสกรุ๊ปผู้ที่เกี่ยวข้องอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2558 จากนั้นจะประชุมสรุปเนื้อหาของร่างประกาศ ป.ป.ช. ที่น่าจะออกมาบังคับใช้ได้ภายในเดือนธันวาคม 2558

“มาตรา 123/5 จะมีส่วนช่วยในการป้องกันการทุจริต เพราะจะบังคับให้แต่ละบริษัทต้องมีมาตรการป้องกันคนของตัวเองไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐของไทยหรือต่างชาติ เพราะไม่เพียงผู้ให้สินบนจะถูกจำคุกไม่เกิน 5 ปี บริษัทยังจะถูกปรับในอัตรา 1-2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ เช่น โครงการที่ได้จากการจ่ายสินบนมีมูลค่าเท่าใด ก็อาจจะถูกปรับ 2 เท่าของมูลค่าโครงการนั้น เป็นต้น” แหล่งข่าวระบุ

ทั้งนี้ กฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 123/5 มีเนื้อหาระบุว่า

“ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ เพื่อจูงใจให้กระทำการไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลใดและกระทำไปเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคลนั้น โดยนิติบุคคลดังกล่าวไม่มีมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำความผิดนั้น นิติบุคคลนั้นมีความผิดตามมาตรานี้ และต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งเท่าแต่ไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือประโยชน์ที่ได้รับ

“บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลตามวรรคสอง ให้หมายความถึง ลูกจ้าง ตัวแทน บริษัทในเครือ หรือบุคคลใดซึ่งกระทำการเพื่อหรือในนามของนิติบุคคลนั้น ไม่ว่าจะมีอำนาจหน้าที่ในการนั้นหรือไม่ก็ตาม”

เปิดรายชื่อนักการเมือง 2 รัฐบาล 113 คน นำร่องใช้กฎหมายภาษีมาตรา 49 ประเมินรายได้ ตรวจสอบ “ร่ำรวยผิดปกติ”

$
0
0

จากกรณีที่กรมสรรพากรนำข้อมูลภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ของนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล 2 ชุดที่ผ่านมาจำนวน 113 คน มอบให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจสอบ ตามที่สตง.เคยร้องขอเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2558 เบื้องต้นพบนักการเมืองหลายรายมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ ในจำนวนนี้มีนักการเมืองและคู่สมรสบางรายมีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น ณ วันที่พ้นตำแหน่งรวม 458 ล้านบาท แต่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้พึงประเมินแค่ 1.5 ล้านบาท และยังขอคืนภาษีด้วย ซึ่งทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี เมื่อไม่เสียภาษีจึงเป็นหน้าที่กรมสรรพากรต้องตรวจสอบและประเมินภาษี

นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)

นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)

ผู้สื่อข่าวสอบถามความคืบหน้าของการตรวจสอบภาษีนักการเมืองกับนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่สตง.เร่งทำการวิเคราะห์ให้ครบทั้ง 113 ราย ทันทีที่ผลการวิเคราะห์เสร็จเรียบร้อย ทางสตง.จะทำรายงานเสนอคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เพื่อให้คตง.ใช้อำนาจตามมาตรา 15 (4) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงิน 2542 แจ้งกรมสรรพากรดำเนินการตรวจสอบภาษีนักการเมืองที่มีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นผิดสังเกตในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ตามระเบียบและขั้นตอนการตรวจสอบภาษีนักการเมือง กรมสรรพากรต้องใช้วิธีการปกติ ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 19-27 แห่งประมวลรัษฎากรก่อน หากนักการเมืองไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้กรมสรรพากรไม่สามารถทราบรายได้รายจ่ายที่แท้จริง เพื่อคำนวณภาษีได้ ก็ให้ใช้วิธีพิเศษตามมาตรา 49 แห่งประมวลรัษฎากร ประเมินภาษีจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนักการเมือง ตามที่เคยแจ้งไว้กับป.ป.ช. นอกจากนี้คตง.จะขอให้กรมสรรพากรใช้มาตรา 37 ดำเนินคดีอาญากับนักการเมืองดังกล่าว ฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากรด้วย

“การตรวจสอบ ประเมินภาษี และดำเนินคดีอาญา ฐานหลีกเลี่ยงภาษีกับนักการเมืองที่ร่ำรวยผิดปกติ นอกจากทำให้นักการเมืองต้องเสียภาษีและติดคุกแล้ว ยังทำให้นักการเมืองดังกล่าวไม่มีสิทธิเล่นการเมืองตลอดชีวิตด้วย ถือเป็นวิธีสกัดนักการเมืองที่ร่ำรวยผิดปกติ หรือ ทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ให้เข้ามาเล่นการเมืองวิธีหนึ่งที่น่าจะได้ผลดี โดยไม่ต้องไปร่างรัฐธรรมนูญหาวิธีสกัดให้ยุ่งยาก” นายชัยสิทธิ์ กล่าว

นายชัยสิทธิ์ กล่าวต่อว่าหลังจากสตง.ตรวจสอบนักการเมืองกลุ่ม 113 รายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางสตง.จะขยายผลการตรวจสอบไปยังนักการเมืองรายอื่นๆที่ร่ำรวยผิดปกติ รวมทั้งนักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองต่อไปด้วย

ทั้งนี้จากการตรวจสอบรายชื่อนักการเมืองที่เคยดำรงตำแหน่งในรัฐบาล 2 ชุดก่อน จำนวน 113 ราย มีรายชื่อดังต่อไปนี้

รายชื่อนักการเมือง

ข้อมูลน่าสนใจด้านปราบปรามการทุจริตของ ป.ป.ช.

$
0
0

Hesse004

การทำงานบน “หลักการ” และยึดมั่นใน “ข้อเท็จจริง” ย่อมเป็นอุดมคติพื้นฐานของคนทำงานด้านต่อต้านทุจริต

นักวิชาการด้านคอร์รัปชันศึกษาและทุจริตวิทยา (Corruption Studies) สนใจในประเด็นที่ว่า (1) สาเหตุใดที่ทำให้สังคมนั้นเกิดการทุจริตคอร์รัปชัน (2) เราจะวัดระดับการคอร์รัปชันนั้นอย่างไร (3) ผลกระทบของคอร์รัปชันในสังคมตีออกมาเป็นตัวเลขได้หรือไม่ และ (4) รัฐและสังคมควรจะจัดการป้องกันปราบปรามคอร์รัปชันอย่างไร

ปัญหาคอร์รัปชันในบางสังคมเป็นปัญหาเล็กน้อยไม่ร้ายแรง เนื่องจากมีระบบการจัดการปัญหาที่ดีอยู่แล้ว กล่าวคือ รัฐแสดงความโปร่งใส (อย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้แค่วาทกรรม) เปิดเผย ตรวจสอบได้ (แบบไม่เลือกปฏิบัติ) รวมทั้งผู้มีอำนาจรัฐร่วมแสดงความรับผิดชอบ (ไม่ปากว่าตาขยิบ)

…แน่นอนว่า หากทำอย่างที่กล่าวข้างต้นได้ สังคมนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องลงทุนกับการปราบปรามคอร์รัปชัน เพราะโดยโครงสร้างพื้นฐานการป้องกันคอร์รัปชันนั้นดีอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศจึงไม่มีหน่วยงานปราบปรามการทุจริต (Anti-Corruption Agencies)หรือที่เราเรียกติดปากว่า ป.ป.ช.

…แต่หลายประเทศยังจำเป็นต้องมี ป.ป.ช. เพราะปัญหาทุจริตกลายเป็นภัยร้ายแรงที่ทำลายเศรษฐกิจและบั่นทอนความเชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดิน

นับตั้งแต่ปี 2540 การทำงานด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริตในบ้านเรามีความเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้เพราะมีการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 (แก้ไขเพิ่มเติม 2 ครั้ง คือ ปี 2554 และ ปี 2558) ซึ่งทำให้บทบาทของ ป.ป.ช. ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมานั้นโดดเด่นขึ้นมา

ตลอดระยะเวลาการทำงาน 16 ปี ของ ป.ป.ช. มีประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการทำงานด้านปราบปรามทุจริต ซึ่ง ป.ป.ช. มักถูกวิจารณ์อยู่เสมอในเรื่องความล่าช้าในการทำงาน มีคดีคั่งค้างสะสมจำนวนมาก เลือกปฏิบัติ ตลอดจนเกิดข้อสงสัยในมาตรฐานการทำงาน

อย่างไรก็ดี มีงานวิจัยอยู่ชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งนำข้อมูลตัวเลขการทำงานของ ป.ป.ช. มาวิเคราะห์ ข้อมูลดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาปัญหาคอร์รัปชันอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งจะดีไม่น้อย หากเราจะมาทำความเข้าใจกันว่า เพราะเหตุใดกระบวนการทำงานปราบปรามทุจริตนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิด

งานวิจัยชิ้นนี้ชื่อ นิติเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการทำงานของ ป.ป.ช. เป็นหนึ่งในหัวข้อวิจัยของโครงการวิจัยประเภทศาสตราจารย์วิจัยดีเด่น ประจำปี 2556 ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งมีศาสตราจารย์ ดร. เมธี ครองแก้ว เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย

ผู้ศึกษาประเด็นนิติเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการทำงานของ ป.ป.ช. คือ นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. คนปัจจุบัน โดยผู้วิจัยอธิบายบทบาท ป.ป.ช. ในแต่ละด้าน ลงลึกไปถึงวิธีการทำงานเชิงปฏิบัติพอสังเขป ตลอดจนแสดงข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับการปราบปรามทุจริตไว้อย่าง “น่าสนใจ”

น่าชื่นชมว่า การศึกษาวิจัยครั้งนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของ “ฉันทาคติ” ที่ต้องการ “อวย” หน่วยงานตนเอง เพราะผู้วิจัยสะท้อนปัญหาการทำงานผ่านข้อมูลตัวเลขซึ่งทำให้เราทราบสาเหตุของความล่าช้าจนทำให้คดีเกิดคั่งค้างสะสมว่ามาจากปัจจัยอะไรบ้าง

ในบทที่ 2 ของงานวิจัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ผลงานด้านการปราบปรามการทุจริต ผู้วิจัยลงรายละเอียดถึงขั้นตอนการทำงานปราบปรามทุจริตของ ป.ป.ช. ที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน (2) ขั้นตอนการไต่สวนข้อเท็จจริง และ (3) ขั้นตอนการดำเนินคดี

ตัวเลขที่แสดงในบทที่ 2 ชี้ให้เห็นว่า ในทางปฏิบัตินั้น การทำงานของ ป.ป.ช. ดูจะไม่สมดุลกับจำนวนเรื่อง/คดีหรือสำนวนที่ต้องรับผิดชอบ

…เริ่มต้นจากงานด้านแสวงหาข้อเท็จจริง ผู้วิจัย เริ่มต้นเสนอข้อมูลอัตรากำลังของ ป.ป.ช. ที่ทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริง ว่ามีทั้งหมด 247 คน (แบ่งเป็นส่วนกลาง 33 คน และอยู่ประจำตาม ป.ป.ช. จังหวัด อีก 214 คน) โดยต้องรับผิดชอบปริมาณคดีค้างสะสม(ถึงกลางปี 2556) ประมาณ 7,000 เรื่อง และต้องรับเรื่องร้องเรียนใหม่เข้ามาอีกเฉลี่ยปีละ 2,600 เรื่อง …เฉลี่ยแล้วความสามารถในการผลิต 10 เรื่อง/คน/ปี (กรณีนี้เราพอจะอนุมานได้ว่าเจ้าหน้าที่ด้านแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานหนึ่งคนจะต้องมีผลงานออกให้ได้อย่างน้อยหนึ่งเรื่องในแต่ละเดือน)

หากมองในเชิงประสิทธิภาพการปราบปราม พบว่า เรื่องกล่าวหาที่สำนักงาน ป.ป.ช. ใช้เวลาดำเนินการนานที่สุด คือ เรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำผิดเกี่ยวกับการสมยอมกันในการเสนอราคา (คดีฮั้วประมูล) โดยเรื่องหนึ่งใช้เวลาเฉพาะแสวงหาข้อเท็จจริงนานถึง 429 วัน

เมื่อคิดเฉลี่ยรวมทุก ๆ เรื่องแล้ว ปรากฏว่า เพียงแค่ขั้นตอนแรก การแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน ผู้ปฏิบัติงานต้องใช้เวลาดำเนินการประมาณเฉลี่ยเรื่องละ 354 วัน หรือเกือบ 1 ปี

ขั้นตอนต่อมา คือ การไต่สวนข้อเท็จจริง คณะกรรมการ ป.ป.ช. จำแนกเรื่องไต่สวนออกเป็น 3 ช่องทาง ได้แก่ (1) เรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะทำการไต่สวนข้อเท็จจริงเอง (ส่วนใหญ่เป็นคดีสำคัญ หรือคดีใหญ่ ๆ) (2) เรื่องที่คณะกรรมการฯ ตั้งคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ขึ้นมาทำการไต่สวนข้อเท็จจริง และ (3) เรื่องที่ใช้พนักงานไต่สวนข้อเท็จจริง

ข้อมูลที่เปิดเผยในรายงานวิจัย พบว่า งานด้านไต่สวน มีงานค้างสะสมประมาณ 1,500 เรื่อง รับใหม่เฉลี่ยปีละ 200 เรื่อง ความสามารถในการผลิต 3 เรื่อง/คน/ปี (หรือเฉลี่ยแล้วแต่ละไตรมาสเจ้าหน้าที่ 1 คน จะออกรายงานผลการไต่สวนให้ได้อย่างน้อย 1 เรื่อง)

ผู้วิจัยสรุปว่า ระยะเวลาไต่สวนข้อเท็จจริงนั้นใช้เวลาเฉลี่ยเรื่องละ 1,059 วัน หรือเกือบ 3 ปี และหากรวมขั้นตอนแรกเข้าไปจะพบว่า กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการปราบปรามทุจริต 1 เรื่อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงาน ป.ป.ช. ใช้เวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จนานถึง 4 ปี สาเหตุนี้เองที่ทำให้ปริมาณเรื่องค้างเก่าสะสมในอัตราส่วนที่สูงขึ้นทุกปี

เมื่อย้อนกลับไปดูอัตรากำลังด้านปราบปรามทุจริต พบว่า ป.ป.ช. ตั้งไว้กรอบอัตรากำลังที่ 556 คน โดยแบ่งเป็นสายงานด้านแสวงหาข้อเท็จจริง 247 คน และสายงานไต่สวน 309 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ม.ค. 2557)

การศึกษาครั้งนี้ยังวิเคราะห์ต้นทุนคดีในเชิงเศรษฐศาสตร์ โดยต้นทุนในขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริงคิดเป็นเงินเรื่องละ 36,825 บาท ขณะที่ต้นทุนในการไต่สวนข้อเท็จจริง เฉลี่ยอยู่ที่เรื่องละ 35,983 บาท เมื่อนำมารวมกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ พบว่า การดำเนินคดีให้แล้วเสร็จทั้งกระบวนการจะมีต้นทุนเรื่องละ 84,916 บาท

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นการทำงานในระดับผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่แสวงหาข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐาน ไต่สวนคดี นี่ยังไม่นับรวมระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเป็นพยานในศาลอีก

การวิพากย์วิจารณ์ปัญหาบนข้อมูลพื้นฐานของการทำงานย่อมทำให้เราเข้าใจข้อเท็จจริงและวิธีการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่าง “รอบด้าน” มากขึ้น ลดอคติหรือฉันทาคติอย่างใดอย่างหนึ่งให้น้อยลง

…เพราะท้ายสุดแล้ว การต่อต้านทุจริตมิใช่การต่อต้านเพียง “วาทกรรม” หรือโชว์คำพูดสวยหรูหรือแม้แต่ให้ข้อเสนอแนะที่ดี แต่อยู่บนหอคอยงาช้าง เวลาลงมือปฏิบัติจริงกลับทำไม่ได้

เชิงอรรถ
ผู้สนใจรายงานวิจันฉบับนี้สามารถสืบค้นเพิ่มเติมจากรายงานการศึกษา เรื่อง นิติเศรษฐศาสตร์ ว่าด้วยการทำงานของ ป.ป.ช. โดย สรรเสริญ พลเจียก (2557)

“วิษณุ”ตั้งโต๊ะแจงยิบ 8 ข้อสงสัย ปมใช้คำสั่งปกครองเรียกค่าเสียหายจำนำข้าว –“ยิ่งลักษณ์”โต้ไม่ได้รับความเป็นธรรม

$
0
0
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ที่มาภาพ: http://www.thaigov.go.th/index.php?

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ที่มาภาพ: http://www.thaigov.go.th/index.php?

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย แถลงข่าวชี้แจงข้อสงสัยประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอความเป็นธรรม และมีการออกข่าวผ่านสื่อโต้แย้งประเด็นข้อกฎหมายหลายประเด็น โดยนายวิษณุใช้เวลาในการอธิบายราว 1 ชั่วโมง 30 นาที มีใจความโดยสรุปว่า

ปัดจ้องเล่นงานคดีจำนำข้าว – ยันให้ความเป็นธรรมเต็มที่

หลักการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งหรือที่เรียกกันว่าค่าสินไหมทดแทน เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อจนทำให้รัฐ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม ฯลฯ และประชาชนได้รับเสียหาย ถือว่ากระทำการ “ละเมิดต่อรัฐ” โดยผู้ที่กระทำการละเมิดจะต้องชดใช้ต่อรัฐเกิดเป็นคดีแพ่ง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับคดีอาญา มีข้อพิจารณาว่า คดีจำนำข้าวเมื่อมีมูลทางอาญาแล้ว จะมีมูลทางแพ่งด้วยหรือไม่ “มูล” แปลว่าเชื้อ เมื่อมีเชื้อก็ต้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ถูกกล่าวหา เช่น นาย ก. ลักทรัพย์สินของทางราชการ หัวหน้าส่วนราชการจะนิ่งเฉยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) มาตรา 157

ทั้งนี้ เมื่อรู้ว่ามีการละเมิดต่อรัฐ รัฐก็ต้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งทำได้ 2 วิธีการ ขีดเส้นใต้ว่าไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว

  1. ฟ้องร้องต่อศาล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.แพ่งฯ) ว่าด้วยละเมิด ให้จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหาย โดยรัฐเป็นโจทก์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้มาแต่โบราณกาล กระทั่งในปี 2539-2540 มีการออกกฎหมายฝาแฝด จำนวน 3 ฉบับที่ออกมาเพื่อคุ้มครองประชาชน ประกอบด้วย พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 เปิดทางให้มีอีกวิธีการที่รัฐจะดำเนินการได้ คือ
  2. ออกคำสั่งทางปกครอง โดยใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ ซึ่งจะใช้ก็ต่อเมื่อผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาจะต้องฟ้องร้องต่อศาลเท่านั้น วิธีการนี้ใช้มา 19 ปีเศษแล้ว มีการออกคำสั่งไปแล้วกว่า 5 พันเรื่อง จึงมิใช่นวัตกรรมที่เพิ่งคิดขึ้นไม่กี่ปีนี้เพื่อเล่นงานบุคคลใด ซึ่งเป็นวิธีการที่มีขั้นตอนและระยะเวลามากกว่าการฟ้องร้องต่อศาลโดยตรง เริ่มต้นจากตั้ง “คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง” ที่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงอย่างเต็มที่ แล้วไปสู่ “คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง” ที่อาจจะเห็นชอบกับคณะกรรมการฯ ชุดแรกหรือไม่ก็ได้ หากทั้ง 2 ชุดเห็นชอบ ถึงจะเสนอให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงออกคำสั่งทางปกครองให้ผู้ถูกกล่าวหาชดใช้ หากผู้ถูกกล่าวไม่เห็นด้วยยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันต่อ “คณะกรรรมการพิจารณาเรื่องอุทธรณ์” หากเห็นว่าไม่ต้องรับผิด ก็เสนอให้ยุติเรื่องได้ และแม้จะมีการออกคำสั่งทางปกครอง ผู้ถูกกล่าวก็ยังมีสิทธิในการยื่นฟ้องต่อ “ศาลปกครอง” ทั้งชั้นต้นและสูงสุด ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการฟ้องร้องหลายคดี และคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดก็มีทั้งให้ชดใช้ทั้งหมด ชดใช้บางส่วน เปลี่ยนสูตรในการคำนวณความเสียหาย หรือไม่ต้องชดใช้เลย

“จะเห็นได้ว่า วิธีการหลังให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาในการนำพยานหลักฐานมาโต้แย้งได้หลายขั้นตอน กระทั่งหลังออกคำสั่งทางปกครองก็ยังยื่นอุทธรณ์ได้อีก ถ้าไม่พอใจผลอุทธรณ์ก็ยังยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ถึง 2 ศาล ต่างกับวิธีการแรกที่ไปศาลทันทีเลย แล้วคดีที่มีทุนทรัพย์มากๆ ส่วนใหญ่จะไปที่ศาลทั้งสิ้น ผมคำนวณคร่าวๆ ว่าน่าจะใช้เวลา 5-10 ปีกว่าที่ศาลปกครองจะมีคำตัดสินออกมา จึงมีอีกหลายขั้นตอน ไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะออกคำสั่งทางปกครองเลย” รองนายกฯ ด้านกฎหมายกล่าว

ไม่ฟ้องไม่ได้ ผิดมาตรา 157 ฐานละเว้น

นายวิษณุกล่าวว่า สำหรับการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งในคดีรับจำนำข้าว แบ่งผู้ถูกกล่าวหาได้เป็น 4 กลุ่ม ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดและส่งหนังสือมาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 73/1

– กลุ่มแรก มี “นางสาว ย.” หลังจาก ป.ป.ช. ขี้มูลจากคดีจำนำข้าวกรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต ก็ส่งหนังสือให้กระทรวงการคลังเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558

– กลุ่มที่ 2 มี “นาย บ.” กับพวก หลังจาก ป.ป.ช. ชี้มูลจากคดีทุจริตขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ไทย-จีน ก็ส่งหนังสือให้กระทรวงพาณิชย์เรียกค่าเสียหายทางแพ่ง เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558

– กลุ่มที่ 3 มี “นาย ภ.” กับพวก หลังจาก ป.ป.ช. ชี้มูล จากคดีทุจริตขายข้าวแบบ G to G ไทย-จีน ก็ส่งหนังสือให้กระทรวงพาณิชย์เรียกค่าเสียหายทางแพ่ง เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558

– กลุ่มที่ 4 เป็นเอกชน ซึ่งมีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล รวม 15 คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีของคนในกลุ่มที่ 2 และ 3 ฐานเป็นผู้ร่วมกระทำผิดในคดีทุจริตขายข้าวแบบ G to G ไทย-จีน หลังจาก ป.ป.ช. ชี้มูล ก็ส่งหนังสือให้กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558

เมื่อ ป.ป.ช. ส่งหนังสือไปยังกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ให้เรียกค่าเสียหายกับบุคคลทั้ง 4 กลุ่มนี้ จึงเป็นเรื่องที่รัฐจะต้องปฏิบัติตาม ไม่เช่นนั้นผู้เกี่ยวข้องอาจถูกดำเนินคดีฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตาม ป.อาญา มาตรา 157 คำถามคือรัฐจะเลือกใช้วิธีการใดในการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับบุคคลเหล่านี้ หลังจากปรึกษาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รัฐก็ตัดสินใจเลือกใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ ออกคำสั่งทางปกครอง ซึ่งจะใช้กับผู้ถูกกล่าวหากลุ่มที่ 1-3 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่ 4 ซึ่งเป็นเอกชน ต้องกลับไปใช้วิธีการฟ้องร้องต่อศาล

580519yingluck

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวทางไปร่วมการพิจารณาคดีจำนำข้าว ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีรับจำนำข้าว ที่ ป.ป.ช. ชี้มูล มี 2 ส่วน

ส่วนแรก กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกกล่าวหาเพียงคนเดียว สำหรับการลงโทษ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ลงมติถอดถอน ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกตัดสิทธิที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ส่วนการดำเนินคดีอาญา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยจะเริ่มไต่สวนพยานในเดือนมีนาคม 2559 และคาดว่าจะมีคำพิพากษาออกมาภายในเดือนธันวาคม 2559

ส่วนที่ 2 กรณีทุจริตขายข้าวแบบ G to G มีผู้ถูกกล่าวหา 21 คน ประกอบด้วย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวก โดยมีเอกชนเกี่ยวข้องด้วย 15 คน สำหรับการลงโทษ ที่ประชุม สนช. ได้ลงมติถอดถอนนายบุญทรง นายภูมิ และนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ไปแล้ว ทำให้บุคคลทั้ง 3 ถูกตัดสิทธิที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมือง/ทางราชการ เป็นเวลา 5 ปี ส่วนการดำเนินคดีอาญา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาฯ โดยจะเริ่มไต่สวนพยานในเดือนมีนาคม 2559 และคาดว่าจะมีคำพิพากษาออกมาช่วงต้นปี 2560

แจงยิบ 8 ประเด็น – ยันออกคำสั่งปกครองเรียกค่าเสียหาย “นายกฯ” ได้

นายวิษณุกล่าวว่า สำหรับประเด็นปัญหาทางกฎหมายที่อยากชี้แจงมี 8 ประเด็น

1. นายกฯ และรัฐมนตรี ถือว่าเป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ที่อยู่ในอำนาจของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ หรือไม่

พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ มาตรา 4 ให้นิยาม “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ว่ารวมถึง “ข้าราชการ” ด้วย ซึ่งตามหลักกฎหมายทั่วไป นิยามของคำว่าข้าราชการจะหมายรวมถึงข้าราชการพลเรือนและข้าราชการการเมืองด้วย โดยข้าราชการการเมืองนั้นหมายรวมถึงนายกฯ รัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี ฯลฯ ด้วย ดังนั้น นายกฯ และรัฐมนตรีจึงถือเป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ตามกฎหมายนี้

2. จะสามารถออกคำสั่งทางปกครองกับนายกฯ และรัฐมนตรีได้หรือไม่ เพราะตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ มาตรา 4 (3) กำหนดข้อยกเว้น มิให้ออกคำสั่งทางปกครองกับนายกฯ และรัฐมนตรีในงานทางนโยบายโดยตรง

มีคนอ้างว่ามาตรานี้ทำให้ออกคำสั่งทางปกครองกับนายกฯ ไม่ได้ ซึ่งเป็นจริงว่าเรื่องนโยบายใครจะไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ ไม่ว่านโยบายนั้นจะดีหรือแย่อย่างไร ข้าราชการจะไปโต้แย้งไม่ได้ ฟ้องศาลไปก็ไม่รับ แต่หากเป็นการนำนโยบายไปปฏิบัติแล้วมีการกระทำที่มิชอบ ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เลือกปฏิบัติ หรือทุจริตคอร์รัปชัน สามารถฟ้องร้องต่อศาลหรือออกคำสั่งทางปกครองได้ ที่ผ่านมานโยบายจำนำข้าวก็ไม่มีหน่วยงานใดที่ไปบอกว่านโยบายผิด แต่ผิดที่การดำเนินการ ซึ่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ไม่ได้ยกเว้น

3. เมื่อดำเนินการทางอาญาด้วยการฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เหตุใดยังต้องมีการดำเนินการทางแพ่งอีก

เหมือนกับคำพูดว่าจองล้างแล้วทำไมยังต้องไปจองผลาญอีก ถ้ามองจากมุมมนุษยธรรมก็อาจจะถูก แต่ถ้ามองในมุมของกฎหมาย เป็นเรื่องที่รัฐต้องปฏิบัติตามตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 73/1 ไม่เช่นนั้นอาจมีความผิดฐานละเว้นปฏิบัติตามหน้าที่ตาม ป.อาญา มาตรา 157 แล้วคนในรัฐบาลชุดนี้อาจจะถูกถอดถอน ฟ้องร้อง หรือรับผิดทางแพ่งแทนผู้ถูกกล่าวหา

เผย จนท. ทำรัฐเสียหายเกือบ 100% ใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดฯ ทั้งนั้น

4. เหตุใดรัฐถึงเลือกใช้วิธีออกคำสั่งทางปกครองตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ แทนการฟ้องร้องต่อศาล

ทั้ง 2 วิธีเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายซึ่งมิใช่วิถีเถื่อนหรือนวัตกรรมใหม่ นับแต่มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ มาตั้งแต่ปี 2539 มีการออกคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายไปแล้วกว่า 5 พันเรื่อง จึงเป็นเรื่องที่ปฏิบัติมาอยู่แล้ว เรื่องนี้ข้าราชการต่างรู้ว่าหากมีการกระทำที่สร้างความเสียหายต่อรัฐจะต้องใช้วิธีการนี้ แต่นักการเมืองกับประชาชนทั่วไปอาจจะไม่ชิน ทำให้ออกมาตั้งคำถาม ระยะเวลา 19 ปีที่ผ่านมา หากเจ้าหน้าที่ของรัฐละเมิดต่อรัฐเกือบ 100% จะใช้วิธีออกคำสั่งทางปกครอง มีน้อยมากที่จะฟ้องร้องต่อศาล เช่น กรณีนายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปี 2540 ที่มีการปฏิบัติตามขั้นตอนใน พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ จนเกือบจะออกคำสั่งทางปกครองอยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่มั่นใจสุดท้ายก็ไปยื่นฟ้องร้องต่อศาลแทน

5. อายุความ

ตามมาตรา 10 ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ กำหนดให้มีอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการกระทำผิดและตัวผู้กระทำผิด ซึ่งได้แก่วันที่ ป.ป.ช. ส่งหนังสือให้หน่วยงานราชการ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง ในวันที่ 17 และวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558 ตามลำดับ ดังนั้น อายุความจะสิ้นสุดลงในวันที่ 17 และ 18 กุมภาพันธ์ 2560

6. มีการออกคำสั่งทางปกครองตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐชดใช้ความเสียหายทางแพ่ง นับแต่ปี 2539 มาแล้วกี่คดี

กรมบัญชีกลางได้รวบรวมข้อมูลพบว่า นับแต่ปี 2539 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2558 มีการออกคำสั่งทางปกครองเรียกชดใช้ค่าเสียหายมาแล้วกว่า 5 พันเรื่อง แบ่งเป็น ระหว่างปี 2539-2553 มี 3,097 เรื่อง ปี 2554 มี 335 เรื่อง ปี 2555 มี 117 เรื่อง ปี 2556 มี 114 เรื่อง ปี 2557 101 เรื่อง และปี 2558 จนถึงวันนี้ มี 76 เรื่อง หลายเรื่องยุติหลังออกคำสั่งทางปกครอง คือผู้ถูกกล่าวหายอมจ่ายเงิน แต่หลายเรื่องมีการยื่นฟ้องศาลปกครอง

7. ที่มีข้อโต้แย้งว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กำหนดว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้ต้องให้ “หัวหน้าส่วนราชการ” เป็นผู้ลงนาม แต่สำหรับ “นางสาว ย.” ที่เคยมีตำแหน่งเป็นนายกฯ ไม่ได้สังกัดส่วนราชการใด การใช้ระเบียบสำนักนายกฯ นี้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงจึงมิชอบ

ถ้าไปดูชุดขาวปรกติของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงแต่ละคน จะเห็นว่าไม่ได้มีตราสัญลักษณ์ว่าอยู่ในสังกัดกระทรวงนั้นๆ แต่อยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ไม่ได้มีตราสัญลักษณ์นกวายุภักดิ์ของกระทรวงการคลัง ส่วนราชการสำหรับรัฐมนตรีแต่ละคนรวมถึงนายกฯ คือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีหัวหน้าส่วนราชการคือนายกฯ ดังนั้น ในคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของนางสาว ย. จึงให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ลงนามร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

8. ระยะเวลาในการดำเนินการ

การดำเนินการในส่วนกระทรวงการคลัง ขณะนี้ ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของ “คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง” เท่านั้น โดยกฎหมายให้ระยะเวลาดำเนินการ 120 วัน และขยายเวลาได้ครั้งละ 30 วันตามความจำเป็น ซึ่งมีการขยายเวลาให้แล้ว 1 ครั้ง โดยจะสิ้นสุดปลายเดือนพฤศจิกายน 2558 และอาจพิจารณาขยายเวลาได้ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ส่วนกระทรวงพาณิชย์ มีความคืบหน้ากว่า เพราะอยู่ระหว่างการพิจารณาของ “คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง” แล้ว ทั้งนี้ กฎหมายไม่มีกำหนดว่าคณะกรรมการแต่ละชุดจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเท่าใด มีเพียงอายุความว่าต้องทำให้เสร็จภายใน 2 ปีนับแต่วันที่รับรู้การกระทำผิดและผู้ที่กระทำผิด หรือภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 และส่วนตัวคิดว่าทั้ง 2 กรณีจะต้องทำให้แล้วเสร็จในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน เพราะมีข้อเท็จจริงบางอย่างที่เกี่ยวพันกันอยู่

“สำหรับตัวเลขความเสียหายที่จะออกคำสั่งทางปกครองให้ผู้ถูกกล่าวหาชดใช้ กว่าจะรู้ก็ต้องรอผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการความรับผิดทางแพ่ง ที่ต้องสรุปตัวเลขเสนอให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงเพื่อออกคำสั่งทางปกครอง ดังนั้น ถึงจะมาถามผมว่า จะให้นางสาว ย. นาย บ. นาย ภ. ชดใช้คนละกี่ล้านบาทในตอนนี้ ผมก็ยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะยังมีอีกหลายขั้นตอน และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” นายวิษณุกล่าว

581116รถดับเพลิง

คดีจับซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม. เป็นอีกหนึ่งคดีที่นายวิษณุหยิบมาเป็นตัวอย่างว่า มีการใช้คำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายจากผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีหลายคน ที่มาภาพ : http://www.dailynews.co.th/bangkok/192620

ยก 5 คดีตัวอย่าง บี้ “รมต.-บิ๊ก ขรก.” ชดใช้

นายวิษณุยังกล่าวยกตัวอย่างคดีที่มีการใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ ออกคำสั่งทางปกครองเรียกให้ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งมีตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีไปจนถึงข้าราชการขั้นสูงใหญ่ให้ชดใช้ค่าเสียหาย อาทิ 1. คดีรถและเรือดับเพลิง มีอดีตรัฐมนตรีหลายคนเป็นผู้รับผิดชอบ ค่าเสียหาย 7,780 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาในศาลปกครอง 2. คดีเรือขุดเอลลิคอตต์ มีอดีตอธิบดีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบ ค่าเสียหาย 86 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง 3. คดีคลองด่าน กรณีออกเอกสารสิทธิที่ดิน มีอดีตรัฐมนตรีและข้าราชการเป็นผู้รับผิดชอบ ค่าเสียหาย 912 ล้านบาท 4. คดีคลองด่าน กรณีใช้ประโยชน์ มีอดีตรัฐมนตรีและข้าราชการเป็นผู้รับผิดชอบ ค่าเสียหาย 15,200 ล้านบาท และ 5. คดีที่ดินสถานีขนส่งหมอชิต มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบ ค่าเสียหาย 1,119 ล้านบาท

“คดีละเมิดต้องดำเนินการก่อนโดยไม่จำเป็นต้องรอคดีอาญาให้จบสิ้น บางคดีที่ยกขึ้นมาเพิ่งมีคำตัดสินทางอาญาไม่นานมานี้เอง หลายคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล”

เมื่อถามว่า หากศาลฎีกาฯ พิพากษาคดีจำนำข้าว ทั้งกรณีนางสาว ย. และ G to G เสร็จก่อนที่จะมีคำสั่งทางปกครอง แล้วออกมาว่า “ยกฟ้อง” จะส่งผลต่อการเรียกชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ต้องดูว่าเป็นการยกฟ้องในลักษณะไหน เช่น ถ้ายกฟ้องเพราะคดีหมดอายุความก่อนส่งฟ้องก็อาจจะไม่มีผล แต่ถ้ายกฟ้องเพราะข้อเท็จจริงก็จะมีผลแน่นอน

เมื่อถามว่า รัฐมีสิทธิเข้าไปดูเส้นทางการเงินของผู้ถูกกล่าวหาในคดีจำนำข้าวหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ตนไม่รู้ว่ารัฐจะเข้าไปดำเนินการเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ และคงจะไม่เข้าไปดำเนินการ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ยกเว้นกรณีเดียวคือเรื่องศาลปกครองตัดสินแล้วอ้างว่าไม่มีเงินจ่าย ซึ่งตามปกติคดีปกครองจะมีอายุความในการติดตามทรัพย์สิน 10 ปี ก็จะต้องเข้าไปดูว่ามีการซุกซ่อนทรัพย์สินไว้ที่ใดหรือไม่

เมื่อถามว่า การออกคำสั่งทางปกครองเป็นการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร แสดงว่ารัฐบาลชุดต่อไปเข้ามาก็สามารถยกเลิกได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ทำได้ แต่จะกล้าทำหรือไม่ เพราะอาจมีคนยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. เข้ามาตรวจสอบ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ป.อาญา มาตรา 157 และตลอดระยะเวลา 19 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดกล้ายกเลิกคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการละเมิดต่อรัฐเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เมื่อถามว่า ในจดหมายเปิดผนึกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เรียกร้องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบข้อกฎหมายอีกครั้งว่าการใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ สามารถทำได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องนี้ได้ขอสรุปแล้วว่า รัฐเลือกวิธีการนี้ จึงไม่จำเป็นต้องกลับไปทบทวนอีก

“ยิ่งลักษณ์” โต้รัฐบาลตั้งธงเล่นงาน

ด้านท่าทีจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ภายหลังนายวิษณุแถลงข่าวชี้แจงจบไม่กี่ชั่วโมง เฟซบุ๊กของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้โพสต์ข้อความระบุว่า หลังจากฟังนายวิษณุชี้แจงจบ ก็ไม่อยู่ในฐานะที่ต้องการอะไรแม้แต่คำว่า “ความเป็นธรรม” เพราะทุกอย่างคงดำเนินการไปตามที่รัฐบาลนี้ต้องการ  พร้อมกันนี้ยังได้ตั้งข้อสังเกตการดำเนินการในเรื่องนี้ 5 ข้อประกอบด้วย

  1. รัฐบาลเลือกใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ดิฉันชำระค่าเสียหายทั้งที่คดีอาญายังไม่เสร็จสิ้น เท่ากับว่ารัฐบาลใช้อำนาจตุลาการแทนศาล และยังเลือกใช้มาตรา 44 คุ้มครองรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่สอบสวนข้อเท็จจริงให้พ้นจากการถูกฟ้องร้องใดๆ จากดิฉันใช่หรือไม่
  2. ที่อ้างว่า พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 นั้นใช้มานานกว่า 19 ปี และกว่า 5,000 คดี ดิฉันเห็นว่าเวลาและจำนวนคดีไม่ใช่สาระสำคัญที่จะใช้เป็นข้ออ้าง เพราะเชื่อว่ายังไม่มีคดีไหนเหมือนดิฉันซึ่งเป็นคดีแรกที่นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งของประชาชนถูกยึดอำนาจ ถูกดำเนินคดี จากนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาเพื่อช่วยเหลือประชาชน จะเป็นเรื่องของการที่ทำให้รัฐต้องเสียหาย และต้องรับผิดชอบทั้งที่คดีอาญายังไม่เสร็จสิ้น
  3. รัฐบาลต้องตอบกับพี่น้องประชาชนด้วยว่า การที่เลือกใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ดิฉันชำระค่าเสียหายนั้น ประชาชนได้ประโยชน์อย่างไร และจะรับประกันได้หรือไม่ว่า คณะกรรมการสอบสวนฯ ไม่อยู่ภายใต้การชี้นำ แต่สามารถใช้ดุลพินิจได้อย่างถูกต้องและเที่ยงธรรมเช่นศาล แม้รัฐบาลพยายามที่จะพูดว่าขั้นตอนยังไม่เป็นที่สิ้นสุดและสามารถใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ แต่กลับไม่มีคำตอบว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ให้กระบวนการเรียกร้องค่าเสียหายเป็นไปตามขั้นตอนของศาลยุติธรรมเพื่อเป็นหลักประกันแห่งการอำนวยความยุติธรรมแทนการใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ดิฉันชำระค่าเสียหาย
  4. อะไรที่เรียกว่าสร้างความเสียหายต่อรัฐอย่างร้ายแรง ทั้งๆที่โครงการรับจำนำข้าวได้จ่ายเงินตรงถึงมือชาวนาผ่าน ธกส. ทุกบาททุกสตางค์
  5. การเพิ่มประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเป็น “พยานล่วงหน้า” ในคดีอาญา ถือเป็นข้อสังเกตที่เป็นนัยยะสำคัญว่าอาจนำผลการสอบสวนข้อเท็จจริงในคดีแพ่ง ทั้งที่ยังไม่มีข้อยุติมาทำให้เป็นผลร้ายกับดิฉันในคดีอาญาหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เฟซบุ๊ก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกเพื่อโต้แย้งประเด็นทางข้อกฎหมายเกี่ยวกับคดีรับจำนำข้าวมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2558 และครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558

อ่านเพิ่มเติมซีรี่ย์จำนำข้าวสิ้นนา สิ้นชาติ จริงหรือ!

กระทรวงพาณิชย์ระบายข้าวได้กว่า 5 หมื่นล้าน

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์ได้ระบายข้าวในสต็อกของรัฐไปแล้วกว่า 5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 52,300 ล้านบาท และจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 6/2558 เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2558 ได้กำหนดนโยบายชัดเจนว่าจะชะลอการระบายข้าวในสต็อกของรัฐที่มีคุณภาพมาตรฐานและใกล้เคียงมาตรฐานเพื่อการบริโภคในช่วงต้นฤดูที่ข้าวนาปี ปีการผลิต 2558/59 กำลังออกสู่ตลาด (พฤศจิกายน 2558 – กุมภาพันธ์ 2559) เพื่อมิให้เกิดอุปทานส่วนเกินมากดทับตลาดซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาข้าวที่เกษตรกรจะได้รับ โดยรัฐจำเป็นต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ก่อน และจะไม่นำข้าวเพื่อการบริโภคออกมาประมูลจนกว่าจะพ้นช่วงฤดูข้าวใหม่ เพื่อให้กลไกตลาดและมาตรการสนับสนุนต่างๆ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ในการช่วยผลักดันราคาข้าวเปลือกในประเทศให้มีเสถียรภาพ

ขณะเดียวกันในระหว่างนี้ให้นำข้าวที่ต่ำกว่ามาตรฐานมาก ซึ่งได้แก่ ข้าวเกรด C ข้าวเสีย และข้าวผิดชนิดมาระบายสู่อุตสาหกรรมแทน จนกว่าจะพ้นช่วงของข้าวฤดูกาลใหม่ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ภายใต้การกำกับดูแลที่รัดกุม เพื่อตัดข้าวกลุ่มนี้ออกจากวงจรข้าวปกติ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคา ข้าวบริโภค รวมทั้งตลาดจะนำมาเป็นข้ออ้างในการกดราคาข้าวฤดูใหม่ไม่ได้

สำหรับการดำเนินงานตามนโยบายของคณะกรรมการ นบข. ดังกล่าว คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ในการประชุมครั้งที่ 5/2558 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2558 ได้กำหนดแผนการระบายข้าวในสต็อกของรัฐให้สอดคล้องตามสถานการณ์ ดังนี้

1. ช่วงข้าวต้นฤดูนาปี (พฤศจิกายน 2558 – กุมภาพันธ์ 2559)

กระทรวงพาณิชย์จะทดลองเปิดประมูลข้าวเสียจากคลังขนาดเล็กที่มีปริมาณข้าวไม่มากเข้าสู่อุตสาหกรรมที่มิใช่เพื่อการบริโภคของคนหรือสัตว์ เพื่อเป็นการทดสอบกระบวนการประมูลข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม รวมทั้งมาตรการ ข้อกำหนด และกลไกภาคปฏิบัติในการควบคุมไม่ให้ข้าวเสียรั่วไหลสู่วงจรข้าวตามปกติ ซึ่งหากการดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามระบบที่วางไว้ ต้นปีหน้าจะเริ่มนำข้าวเกรด C (ยกเว้นข้าวหอมมะลิเกรด C) จากคลังขนาดเล็กที่มีปริมาณข้าวไม่มากมาเปิดประมูลเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เหมาะสมแบบเปิดกว้างเพื่อให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาต่อไป

ทั้งนี้ การระบายข้าวเกรด C ข้าวเสีย และข้าวผิดชนิดเข้าสู่อุตสาหกรรมนั้น กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาดำเนินการในปริมาณและช่วงจังหวะที่เหมาะสมด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อวัตถุดิบหลักที่ภาคอุตสาหกรรมใช้อยู่ อาทิ ข้าวโพด มันสำปะหลัง ภายใต้มาตรการในการกำกับดูแล และบทลงโทษที่รัดกุม โดยมอบหมายหน่วยปฏิบัติทำหน้าที่ในการควบคุมดูแลการขนย้ายข้าวเสื่อมเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม กำหนดให้ผู้ที่ประมูลได้ต้องมาขออนุญาตขนย้ายข้าวกับกรมการค้าภายใน ภายใต้ พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 พร้อมทั้งมีการสุ่มตรวจจากหน่วยงานในพื้นที่เป็นระยะ

2. หลังจากพ้นช่วงต้นฤดูนาปีไปแล้ว (มีนาคม 2559 เป็นต้นไป)

ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2559 ซึ่งคาดว่าจะพ้นช่วงที่ข้าวนาปี ปีการผลิต 2558/59 ออกสู่ตลาดแล้ว กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาปัจจัยผลจากภัยแล้งว่าผลผลิตในตลาดมีเพียพอต่อการบริโภคและการส่งออกหรือไม่เพียงใด เพื่อกำหนดแผนการระบายให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

กระทรวงพาณิชย์ยังได้เน้นย้ำว่า การบริหารจัดการข้าวในสต็อกที่มีปริมาณมากถึง 18 ล้านตันเศษ ซึ่งเป็นข้าวที่เสื่อมคุณภาพไปแล้วกว่าครึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมาได้พยายามดำเนินการความรอบคอบ รัดกุม โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของภาครัฐเป็นสำคัญ ภายใต้ปัญหาความยุ่งยากและอุปสรรคมากมาย การดำเนินการบางกรณีต้องใช้ความกล้าในการตัดสินใจเนื่องจาก หมิ่นเหม่ต่อการถูกกล่าวหาได้ง่าย รวมทั้งยังต้องดำเนินการกับผู้รับผิดชอบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ในอีกหลายกรณี ส่งผลให้ผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการและคณะทำงาน รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมีความกังวลด้วยเกรงปัญหาที่จะตามมาภายหลัง

อย่างไรก็ตามภายใต้คำสั่งหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 39/2558 เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด ตามอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่ให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่ คณะกรรมการ คณะทำงาน และบุคคล จากการรับผิดทางวินัย ทางแพ่ง และทางอาญา ในกรณีที่ได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ด้วยความสุจริตและยุติธรรมนั้น เป็นมาตรการที่มีส่วนช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ภาคปฏิบัติมีความมั่นใจในการดำเนินงานมากขึ้น เป็นการแก้ไขข้อกังวลที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการข้าวในสต็อกของรัฐ ระงับยับยั้งความเสียหายของรัฐจากภาระค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องแบกรับเอาไว้ ทำให้การแก้ไขปัญหาข้าวในสต็อกของรัฐบาลดังกล่าวเดินหน้าต่อไปได้

ป.ป.ช. สั่งสำนักงานรวบรวมข้อมูล “อุทยานราชภักดิ์” – ผบ.ทบ. เตรียมแถลงผลสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น

$
0
0
ที่มาภาพประกอบ : http://www.rta.mi.th/RTAweb/pageinfor/weppage.html

ที่มาภาพประกอบ: http://www.rta.mi.th/RTAweb/pageinfor/weppage.html

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2558 นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ได้แถลงถึงมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับกรณีปัญหาความไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายเงินก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า วันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้หยิบยกประเด็นปัญหาดังกล่าวขึ้นมาหารือ โดยในเบื้องต้นยังไม่ปรากฏ หรือได้รับข้อมูลว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการทุจริต หรือกระทำผิดต่อหน้าที่ราชการหรือไม่ อย่างไร คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมติมอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยให้ประสานขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นให้นำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในข่าย ที่จะรับไว้ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงหรือไต่สวนข้อเท็จจริงตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต่อไปได้หรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ หากบุคคลใดมีข้อมูลหรือหลักฐานเพิ่มเติมพร้อมที่จะส่งมาให้ ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีความยินดีรับข้อมูลหรือหลักฐานต่างๆ

ด้าน พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)กล่าวว่าจะเปิดแถลงกรณีอุทยานราชภักดิ์ ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 หลังได้รับรายงานด้วยวาจาจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกองทัพบก (ทบ.) ที่มี พล.อ. วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล เป็นประธาน ซึ่งทำงานครบ 7 วันในวันดังกล่าวพอดี

สำหรับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มี ทบ. เป็นหน่วยงานดำเนินการผ่านหน่วยงานใต้สังกัด อาทิ กรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.) กรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.) ในสมัยที่ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร เป็น ผบ.ทบ. เริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 คาดว่าใช้เงินในการก่อสร้างราว 800-1,000 ล้านบาท โดยผู้เกี่ยวข้องต่างยืนยันว่า เงินที่ใช้ทั้งหมดมาจากการบริจาค (ผ่านกองทุนสวัสดิการทหารบก บัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 077-1-07474-7 และผ่านธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงร้านสะดวกซื้อในเครือบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) อย่างร้านเซเว่นอีเลฟเว่น) โครงการนี้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่โปร่งใส เมื่อมีการเปิดเผยผ่านสื่อมวลชนว่าอาจมีการหักหัวคิวการก่อสร้างบางรายการ โดยเฉพาะการหล่อรูปปั้นพระมหากษัตริย์บางพระองค์ จน พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. คนปัจจุบัน ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และให้เวลาดำเนินการภายใน 7 วัน

โดย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า หากผลสอบชี้ว่ามีบุคคลใดกระทำผิด ถ้าเป็นความผิดทางวินัยก็ต้องลงโทษ ถ้าเป็นความผิดทางอาญาก็ต้องส่งให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ

ย้อนรอย “ค่าโง่คลองด่าน” บทเรียน 3 หมื่นล้าน ราคาที่คนไทยต้องจ่าย

$
0
0
สภาพล่าสุดบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ที่มาภาพ: Google Earth

สภาพล่าสุดของโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ถูกทิ้งให้รกร้าง ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ แม้จะใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท และจะต้องเสียค่าโง่ให้กับบริษัทเอกชนผู้รับเหมาอีกกว่า 9.6 พันล้านบาท ที่มาภาพ: Google Earth

พลันที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 มีมติให้จ่ายเงินกว่า 9.6 พันล้านบาท ให้กับบริษัทเอกชน รวม 6 บริษัท ที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด สื่อมวลชนทุกแขนงต่างพาดหัวตรงกันว่าเป็นการจ่าย “ค่าโง่” จากคดีทุจริตคลองด่าน

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า อะไรคือค่าโง่ โง่อย่างไร ใครโง่ แล้วรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีอำนาจในการจ่ายเงินประเภทนี้ให้บริษัทเอกชนได้จริงๆ หรือ

คำถามที่หลายคนยิ่งคาใจก็คือ แล้วทำไมยังต้องจ่ายเงินก้อนนี้ ทั้งๆ ที่ก็รู้กันว่า โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านมีการทุจริตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และศาลได้ตัดสินแล้วว่ามีความผิดจริง จนใครบางคนต้องหลบหนีและไม่ได้กลับประเทศอีกเลย

สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ขอชวนย้อนอดีตคดีมหากาพย์การทุจริตครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดคดีหนึ่งในประวัติศาสตร์ เพื่อตอบข้อสงสัยหลากหลายข้างต้น และค้นหาว่า “ความโง่” ครั้งนี้ ได้ทิ้งบทเรียนอะไรเอาไว้บ้าง

เพื่อที่พวกเรา-คนรุ่นหลังจะไม่ทำผิดซ้ำ หรือจะช่วยกันหาวิธีป้องกันไม่ให้ “เรื่องโง่ๆ” เกิดขึ้นอีก …จนราวกับว่าสังคมไทยไม่ได้เรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์

จุดเริ่มต้นโครงการ “คลองด่าน”

ตัวละครสำคัญในการผลักดันโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน หรือชื่อเต็มว่า “โครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษพื้นที่ จ.สมุทรปราการ” ซึ่งเริ่มต้นในปี 2538 มีอยู่ด้วยกัน 3 คน

  1. นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (17 ธันวาคม 2537 – 17 กรกฎาคม 2538 สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย)
  2. นายยิ่งพันธ์ มนะสิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (18 กรกฎาคม 2538 – 15 มิถุนายน 2539 สมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา)
  3. นายปกิต กิระวานิช อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนเมษายน 2538 – เดือนกันยายน 2540)

โดยนายสุวัจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ขณะนั้น เป็นผู้ริเริ่มผลักดันโครงการนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุม ครม. โดยเสนอเรื่องผ่านทางเลขาธิการ ครม. ไปเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2538 แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก่อน ทำให้โครงการหยุดชะงัก ทว่าเมื่อนายยิ่งพันธ์เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยศาสตร์ฯ ก็ยืนยันที่จะเดินหน้าเสนอเรื่องต่อ โดยโครงการนี้เข้าสู่ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2538 และที่ประชุมมีมติ “เห็นชอบ”

วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ ก็คือ “เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหามลพิษของ จ.สมุทรปราการ โดยเฉพาะในด้านน้ำเสีย ตลอดจนฟื้นฟูคุณภาพน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างอย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว หลังจากประกาศให้ จ.สมุทรปราการเป็นเขตควบคุมมลพิษ” โดยจะมีศักยภาพในการบำบัดน้ำเสีย รวม 525,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน มากที่สุดในทวีปเอเชียขณะนั้น(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

คลองด่าน2

หากดูในแผนที่จะเห็นว่า เดิมโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษพื้นที่ จ.สมุทรปราการ จะถูกสร้างในตำแหน่งหมายเลข 1 (ต.บางปูใหม่ อ.เมือง) กับหมายเลข 2 (ต.ในคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์) ที่มีความเหมาะสมมากกว่า ไม่ใช่หมายเลข 3 (ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ)

ทั้งนี้ เดิมโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียนี้จะก่อสร้างขึ้นใน 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาใน จ.สมุทรปราการ ประกอบด้วย ต.บางปูใหม่ อ.เมือง (ฝั่งตะวันออก) ขนาดที่ดิน 1,550 ไร่ ระบายน้ำเสียลงทะเล และ ต.ในคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ (ฝั่งตะวันตก) ขนาดที่ดิน 350 ไร่ ระบายน้ำเสียลงคลอง ภายใต้วงเงิน 13,612 ล้านบาท โดยใช้ลักษณะการว่าจ้างแบบเหมารวม (Turn Key) คือให้บริษัทเอกชนที่ชนะการประมูลเป็นทั้งผู้จัดหาที่ดิน ออกแบบ และก่อสร้าง

แต่ต่อมากลับมีการรวบโครงการนี้ไว้ในที่ดินผืนเดียวกันของฝั่งตะวันออก ใน ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ ขนาดพื้นที่ 1,900 ไร่ ทั้งที่ผลการศึกษาของบริษัท มอนต์โกเมอรี่ วัตสัน เอเชีย จำกัด (จัดทำขึ้นในปี 2537 โดยการว่าจ้างของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หนึ่งในผู้ให้ทุนโครงการ) ระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่เหมาะสมกับการก่อสร้างด้วยเหตุผลสำคัญ 4 ประการ คือ

  1. เป็นพื้นที่ดินอ่อนเหลว
  2. อยู่ห่างไกลจากเขตอุตสาหกรรม
  3. ปริมาณน้ำบำบัดแล้วกว่า 5 แสน ลบ.ม.ต่อวัน จะทำให้น้ำทะเลบริเวณนั้นจืด ปลาอยู่ไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อชาวประมง
  4. การสร้างระบบบำบัดน้ำเสียไว้ 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในระยะยาว มีค่าใช้จ่ายต่ำ และมีความเสี่ยงต่อการผิดพลาดน้อยที่สุด

นอกจากนี้ ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2558 นายยิ่งพันธ์ยังเสนอให้เพิ่มวงเงินโครงการเป็น 22,955 ล้านบาท โดยที่ประชุม “เห็นชอบ”

ตลอดทั้งปี 2539 กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้เดินหน้าการประกวดราคา เพื่อหาบริษัทเอกชนมาดำเนินการก่อสร้าง เริ่มแรกมีผู้แสดงความสนใจซื้อซองประมูลถึง 13 ราย แต่เนื่องจากมีการกำหนดคุณสมบัติแบบเฉพาะเจาะจงไว้ในทีโออาร์ว่าต้องมี “ประสบการณ์ในการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย” ทำให้มีผู้ยื่นซองประมูลจริงเพียง 4 ราย และผ่านคุณสมบัติเพียง 2 ราย ได้แก่ “กิจการร่วมค้า NVPSKG” และ “กลุ่มบริษัท มารูบินี่”

ต่อมา เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2539 นายปกิต กิระวานิช อธิบดี คพ. ขณะนั้น ได้แก้เงื่อนไขการประมูลให้รวมทำโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียนี้บน “ที่ดินผืนเดียว” (ทั้งที่ มติ ครม. ระบุว่าจะทำบนที่ดิน 2 ผืน) ทำให้กลุ่มบริษัท มารูบินี่ถอนตัวเพราะหาที่ดินไม่ทัน กิจการร่วมค้า NVPSKG จึงชนะการประมูล โดยเสนอราคา 22,949 ล้านบาท

และมีการลงนามในสัญญาโครงการ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2540

(เอกสารการชี้มูลความผิดในคดีคลองด่านของ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2554 ได้กล่าวถึงบทบาทของนายปกิต กิระวานิช อธิบดี คพ. ในโครงการนี้ไว้อย่างละเอียด พร้อมระบุว่า การดำเนินโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านฝ่าฝืนต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2539 “เกือบทุกขั้นตอน”)

ปมปัญหาเรื่องคุณสมบัติกิจการร่วมค้า NVPSKG

สำหรับกิจการร่วมค้า NVPSKG ประกอบด้วยบริษัทผู้รับเหมาซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างดี โดยบางบริษัทมีสายสัมพันธ์กับบุคคลในรัฐบาลขณะนั้น (แต่ในปี 2539 ยังไม่มีกฎหมายห้ามกิจการของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ)

N – บริษัท นอร์ธเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

V – บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด

P – บริษัท ประยูรวิศว์การช่าง จำกัด (ชื่อขณะนั้น-ก่อตั้งโดยนายวิศว์ บิดาของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ)

S – บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำกัด (ก่อตั้งโดยนายบรรหาร ศิลปอาชา)

K – บริษัท กรุงธน เอนจิเนียร์ จำกัด

G – บริษัท เกตเวย์ ดิเวลลอปเมนต์ จำกัด (มีสายสัมพันธ์กับบริษัท ปาล์มบีช ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ของนายวัฒนา อัศวเหม ผ่านทางผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง)(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

คลองด่าน3

หลายบริษัทในกิจการร่วมค้า NVPSKG มีสายสัมพันธ์กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในขณะนั้น

โดยมีแค่ N ที่มีเงื่อนไขเข้าคุณสมบัติการยื่นซองประมูลกวดราคา คือเคยมีประสบการณ์ในการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียมาก่อนตามทีโออาร์ แต่ก่อนที่กิจการร่วมค้า NVPSKG จะลงนามทำสัญญากับ คพ. ปรากฏว่า N ขอถอนตัว ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า กิจการร่วมค้าดังกล่าวยังมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นคู่สัญญากับ คพ. ในการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียในเขตพื้นที่ จ.สมุทรปราการได้หรือไม่

จากข้อสงสัยดังกล่าว นำไปสู่การยื่นคำร้องให้หน่วยงานตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันขณะนั้น โดยภาคประชาชนอย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2542-2547 ทั้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ตั้งขึ้นมาแทน ป.ป.ป. ให้เข้ามาตรวจสอบโครงการนี้ โดยแบ่งประเด็นที่เรียกร้องให้ตรวจสอบออก เป็น 2 กรณี

  • การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ รวบรวมที่ดินและนำไปออกโฉนดทับที่สาธารณะประโยชน์ รวม 5 แปลง 1,903 ไร่ โดยมีการปั่นราคาขายที่ดินจาก 1 แสนบาท/ไร่ เป็น 1.1 ล้านบาท/ไร่ (ปมที่ดิน)
  • การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ผลักดันและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ เอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง ทั้งการรวมที่ดินเป็นผืนเดียวทำให้กิจการร่วมค้า NVPKSG ชนะการประมูล และการเพิ่มวงเงินโครงการ จาก 13,612 ล้านบาท เป็น 22,955 ล้านบาท (ปมโครงการ)

ต่อมา ในปี 2546 นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำกับดูแล คพ. ขณะนั้น ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านด้วย ก่อนจะพบความผิดปกติหลายรายการ โดยเฉพาะการที่ไม่มี N ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญร่วมทำสัญญาด้วย จึงสั่งให้กิจการร่วมค้า NVPSKG ยุติการดำเนินโครงการ และระงับการจ่ายเงิน หลังดำเนินก่อสร้างไปแล้วกว่า 95% มีการจ่ายเงินไป 54 งวด จากทั้งหมด 58 งวด รวมเป็นเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท

ขณะที่กิจการร่วมค้า NVPSKG ได้ยื่นคำร้องให้อนุญาตโตตุลาการเข้ามาไกล่เกลี่ยหาข้อยุติ โดยเฉพาะการเรียกร้องให้จ่ายเงินที่เหลืออยู่

ผลการดำเนินคดีอาญา โดย ป.ป.ช. และศาลอาญา ปรากฏว่า “รัฐชนะคดี” เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคดีทุจริตคอร์รัปชัน

แต่ผลการตัดสินคดีของอนุญาโตฯ ที่ต่อเนื่องไปยังศาลปกครอง ปรากฏว่า “รัฐแพ้ทุกคดี” นำมาสู่การต้องจ่าย “ค่าโง่” เพิ่มเติมนับหมื่นล้านในเวลาต่อมา

ชนะคดีอาญา แต่แพ้อนุญาโตตุลาการ

เมื่อคดีคลองด่านเข้าสู่การไต่สวนขององค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. ปรากฏว่ามีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเป็น 2 คณะ คณะแรก – รับผิดชอบเกี่ยวกับที่ดิน และคณะที่ 2 – รับผิดชอบเรื่องการผลักดันโครงการ

โดยนักการเมืองรายหนึ่งที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 2 คดี คือ

  • นายวัฒนา อัศวเหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (14 พฤศจิกายน 2540 – 17 กุมภาพันธ์ 2544 สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย)

แม้นายวัฒนาจะไม่เกี่ยวข้องกับการผลักดันโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านโดยตรง นอกเหนือจากการเป็น ส.ส.สมุทรปราการ แต่ในเอกสารของ ป.ป.ช. กลับระบุสายสัมพันธ์ระหว่างนายวัฒนากับนายยิ่งพันธ์-ผู้ผลักดันโครงการนี้ โดยเฉพาะการเป็น ส.ส. “กลุ่มงูเห่า” ร่วมกัน ทำให้เป็นช่องทางในการให้บริษัทเอกชนที่ถือหุ้น 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ปาล์มบีช ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด เข้าไปกว้านซื้อที่ดิน เพื่อใช้ในโครงการนี้แต่เพียงผู้เดียว

นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มาภาพ: http://www.nationtv.tv/main/content/social/378406788/

นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มาภาพ: http://www.nationtv.tv/main/content/social/378406788/

โดยคดีแรก ป.ป.ช. มีมติเมื่อปี 2550 ชี้มูลความผิดนายวัฒนา กับเจ้าหน้าที่กรมที่ดินอีกจำนวนหนึ่ง ฐานใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจให้ราษฎรขายที่ดินให้ และออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบรุกล้ำที่ดินสาธารณะประโยชน์ ขณะที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา เมื่อปี 2551 ในคดีหมายเลขดำที่ อม.2/2550 และคดีหมายเลขแดงที่ อม.2/2551 จำคุกนายวัฒนาเป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) มาตรา 148 แต่ปัจจุบัน นายวัฒนาอยู่ระหว่างหลบหนีไม่มารับโทษตามคำพิพากษา

ส่วนคดีที่ 2 ป.ป.ช. มีมติเมื่อปี 2554 ชี้มูลความผิดนายวัฒนา รวมถึงอดีตผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ คพ. แต่ให้ยุติการพิจารณาในส่วนของนายยิ่งพันธ์ (เพราะเสียชีวิตไปแล้ว) และยกฟ้องนายสุวัจน์ ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2547 กรมที่ดินยังได้มีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดิน จำนวน 4 ใน 5 แปลง ที่ใช้ในโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน รวมเนื้อที่ 1,358 ไร่ จากทั้งหมด 1,903 ไร่ เนื่องจากมีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ

แสดงให้เห็นว่า โครงการนี้มีความ “ไม่ชอบมาพากล” และมีปัญหาเรื่อง “การทุจริต” อย่างชัดเจน

ทว่า ผลการพิจารณาคดีพิพาทในอนุญาโตตุลาการกลับออกมาอีกทาง !

โดยเมื่อปี 2554 อนุญาโตฯ ตัดสินให้ คพ. จ่ายเงินที่ค้างอยู่กับกิจการร่วมค้า NVPSKG ในคดีข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 50/2546 หมายเลขแดงที่ 2/2554 เป็นเงินที่ค้างชำระและดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี และค่าเสียหายอื่นๆ รวมเป็นเงินกว่า 9 พันล้านบาท

และเมื่อ คพ. นำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ชี้ขาดว่า “คำตัดสินของอนุญาโตฯ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” ปรากฏว่า ทั้งศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด ต่างมีคำพิพากษาว่าคำตัดสินของอนุญาโตฯ ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อรวมดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้จนถึงปี 2558 คพ. จะต้องจ่ายเงินให้กับกิจการร่วมค้า NVPSKG เป็นเงินกว่า 9.6 พันล้านบาท โดยที่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา แม้แต่บ่อบำบัดน้ำเสียที่จ่ายงบประมาณไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท ก็ไม่สามารถนำไปใช้งานได้จริง จนสุดท้ายต้องทิ้งให้รกร้างว่างเปล่า

เป็นการจ่ายเงินซื้อ “บทเรียน” อันแสนแพงด้วย “ค่าโง่” มูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านบาท

บทเรียนจาก “ค่าโง่”

สังคมไทยได้รับบทเรียนอะไรจากคดีคลองด่าน และการจ่ายค่าโง่ครั้งนี้

นางนวลน้อย ตรีรัตน์ ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งศึกษาโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านมาตั้งแต่เริ่มแรก กล่าวว่า โครงการนี้จะเป็บทเรียนกับคนไทยในอนาคตว่า หากมีการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค หรือโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (mega project) ควรสร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชน

“รวมถึงต้องรับฟังความเห็นจากนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการ ให้ช่วยตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อไม่เปิดช่องให้มีการทุจริต” นางนวลน้อยกล่าว

ทั้งนี้ นับตั้งแต่โครงการนี้ได้รับการอนุมัติจาก ครม. และทำสัญญากับบริษัทเอกชน เมื่อปี 2540 ชาวบ้านใน อ.บางบ่อ ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพหลักในการทำประมง โดยมี “ปลาสลิดบางบ่อ” เป็นสินค้าขึ้นชื่อประจำถิ่น ได้เคลื่อนไหวคัดค้าน และยื่นหนังสือถึงผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนายชวน หลีกภัย นายกฯ ขณะนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ผู้ว่าราชการ จ.สมุทรปราการ ฯลฯ เพื่อบอกเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากโครงการ รวม 11 ข้อ ทั้ง ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ชาวบ้านจะได้รับ จากการไม่ทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (environmental impact assessment : EIA) และความไม่โปร่งใสการผลักดันโครงการที่เสมือนเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน

(นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 เป็นต้น ก็มีการบัญญัติไว้ว่า โครงการใดที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องจัดทำ EIA และต้องให้ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นประกอบก่อนการดำเนินงาน (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 56 วรรคสอง และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 67 วรรคสอง”)

โครงการนี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักวิชาการ เรื่องการนำระบบบำบัดน้ำเสียทั้งจังหวัดมารวมไว้ในจุดเดียว ว่าเป็นแนวคิดที่ล้าหลัง และสูญเสียงบประมาณค่าท่อและค่าไฟฟ้าในการปั๊มน้ำเสีย โดยจะต้องปั้มน้ำเสียส่งไปตามยาวกว่า 125 กิโลเมตรเพื่อส่งไปยังบ่อบำบัดน้ำเสีย โดยคาดกันว่าจะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าถึง 1 ล้านบาท/วัน เฉพาะแค่การปั๊มน้ำเสียเข้าระบบเพียงอย่างเดียว ยังไม่รวมถึงค่าไฟฟ้าในการบำบัดและนำน้ำที่บำบัดแล้วไปทิ้งทะเล

นายเกษมสันต์ สุวรรณรัต อดีตกรรมการสมาคมวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม เคยให้ความเห็นว่า “ระบบรวม เป็นการพาน้ำเสียไปเที่ยว ก่อนนำมาบำบัด ทำไมไม่มีการพิจารณาทางเลือกที่จะสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียขนาดเล็ก ที่เหมาะสมกระจายไปทั่วเมืองซึ่งบริหารจัดการง่ายกว่า สิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่า ไม่ต้องลงทุนมาก”

นอกจากนี้ ยังเป็นบทเรียนให้กับข้าราชการได้ตระหนักว่า การร่วมมือกับนักการเมืองทุจริต สุดท้ายอาจได้รับผลร้ายเพียงฝ่ายเดียว โดยคดีนี้มีข้าราชการของกรมควบคมมลพิษ กระทรวงวิทยศาสตร์ฯ และกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทั้งทางอาญาและทางวินัย ไม่รวมถึงการถูกหน่วยงที่เกี่ยวข้องเรียกค่าเสียหายทางละเมิด (ค่าสินไหม) รวมเป็นเงินกว่า 6,637 ล้านบาท ขณะที่ตัวนักการเมืองผู้เกี่ยวข้องได้หลบหนีออกนอกประเทศก่อนที่ศาลฎีกาฯ จะมีคำพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 10 ปี

ผลของคดีคลองด่าน รวมถึงคดีทุจริตคอร์รัปชั่นอื่นๆ ก่อนหน้าที่เกิดจากการล็อกสเปกเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนบางราย นำไปสู่การสร้างกลไกในการป้องกัน ทั้งการออกกฎหมายอย่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) หรือการกำหนดให้รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานให้โปร่งใสมากขึ้น เพื่อที่ภาคประชาชนจะเข้าไปตรวจสอบได้ อย่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540

การดำเนินคดีคลองด่านที่ล่าช้า ใช้เวลาถึง 12 ปี และไม่สามารถนำตัวนายวัฒนาลงโทษได้ ก็เป็นอีก 1 บทเรียนที่กระบวนการยุติธรรมของไทยต้องปรับตัวเช่นกัน

โดยนายสมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Thailand Development Research Institute : TDRI) ระบุว่า คดีคลองด่าน เป็นบทเรียนที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาของกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งต้องเร่งแก้ไข 2 ประการ

  1. ระบบการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนของไทยยังไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหาที่หลบหนีไปต่างประเทศมาลงโทษได้ เพราะแม้ไทยจะเป็นประเทศภาคีสมาชิกสนธิสัญญาต่อต้านคอร์รัปชั่นขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แต่ยังไม่มีการออกกฎหมายรองรับทำให้ประเทศภาคีสมาชิกอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับไทย
  2. กระบวนการยุติธรรมของไทยล่าช้ามาก (คดีคลองด่านใช้เวลาถึง 12 ปี) TDRI เคยเสนอให้มีกลไกติดตามคดีคอร์รัปชั่นสว่ามีความคืบหน้าไปถึงไหน หากไปล่าช้าที่หน่วยงานใดประชาชนจะได้สามารถติดตามตรวจสอบได้ นอกจากนี้ ยังเคยมีการเสนอให้ตั้ง “ศาลชำนาญการพิเศษคอร์รัปชั่น” เพื่อให้การดำเนินคดีคอร์รัปชั่นเป็นไปอย่างรวดเร็ว

คดีคลองด่านจึงทิ้ง “บทเรียน” ไว้ให้กับสังคมไทย ทั้งทางตรง-ทางอ้อม ให้ร่วมกันหาวิธีป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ “ซ้ำรอยคลองด่าน” จนต้องมานั่งเสียดายกับเงินภาษีหลายหมื่นหลายพันล้านบาท ที่เสียไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ให้กับค่าโง่ที่เกิดจากการทุจริต โดยที่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา


เปิดเส้นทางเงินพันล้าน “อุทยานราชภักดิ์”พบ ทบ. โชว์รายการใช้จ่ายไม่ถึงครึ่ง – มีชื่อผู้บริจาค 468 ล้านบาท

$
0
0
รัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเผชิญกับคำถามจากสังคมเรื่องการจัดการความไม่โปร่งใสในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/index.php/th/media-centre/190815-j1.html

รัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเผชิญกับคำถามจากสังคมเรื่องการจัดการความไม่โปร่งใสในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/index.php/th/media-centre/190815-j1.html

คำชี้แจงของ พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ต่อโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา ไม่เพียงไม่ทำให้ข้อสงสัยหมดไป ยังทำให้เกิดคำถามใหม่ๆ ตามมามากมาย ทั้ง

  • เหตุใดถึงไม่เปิดเผยยอดเงินบริจาค ทั้งที่ให้ผ่านกองทุนสวัสดิการทหารบกและผ่านมูลนิธิราชภักดิ์ และเงินที่ใช้จ่ายไปแล้วทั้งหมดเป็นจำนวนเท่าใด
  • ตลอด 7 วันในการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มี พล.อ. วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล เป็นประธาน ได้ตรวจสอบปัญหาการทุจริตด้วยหรือไม่ ถ้าตรวจสอบ แล้วเหตุใด ผบ.ทบ. ถึงโยนให้ไปถามเรื่องหัวคิวหล่อพระบรมรูป จาก พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร อดีต ผบ.ทบ. เอง อยู่อีก
  • จริงหรือที่เมื่อกองทัพบก (ทบ.) ตรวจสอบโครงการภายในกันเองแล้ว องค์กรอิสระอื่นอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะไม่มีสิทธิเข้ามาตรวจสอบ

รัฐบาลเองก็เหมือนจะรับรู้ว่าคำชี้แจงของ ผบ.ทบ. ไม่สามารถเคลียร์ข้อเคลือบแคลงต่อการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ให้หมดไป พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงเตรียมที่จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกชุด

สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า พยายามรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ “ตัวเงิน” ทั้งยอดเงินบริจาคและการใช้จ่าย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการถูกตรวจสอบ จนเป็นประเด็นที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในปัจจุบัน ก่อนพบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรวบรวมข้อมูลในเรื่องนี้ได้ครบถ้วน เพราะไม่เพียงข้อมูลจะถูกเก็บไว้อย่างกระจัดกระจาย บางข้อมูลยังไม่มีการเปิดเผย หรือบางข้อมูลที่เคยมีการเปิดเผยก็อันตรธานไปเป็นที่เรียบร้อย

กำเนิด “อุทยานราชภักดิ์”

อุทยานราชภักดิ์ เป็นโครงการที่ผลักดันโดย พล.อ. อุดมเดช สมัยดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. สร้างขึ้นบนที่ดินของ ทบ. ในพื้นที่โรงเรียนนายสิบทหารบก บริเวณฝั่งตรงข้ามสวนสนประดิพัทธ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ บนเนื้อที่ 222 ไร่เศษ มีสิ่งก่อสร้างสำคัญ 3 ส่วน คือ 1. พระบรมราชานุสาวรีย์อดีตพระมหากษัตริย์ไทย 7 พระองค์ 2. ลานอเนกประสงค์ และ 3. อาคารพิพิธภัณฑ์

– ระยะเวลาในก่อสร้าง แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก ก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์อดีตพระมหากษัตริย์ไทยทั้ง 7 พระองค์และลานอเนกประสงค์ ใช้เวลา 10 เดือน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2557 – สิงหาคม 2558 ช่วงที่ 2 ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 เป็นต้นไป

– เดิมมีชื่อว่า “อุทยานประวัติศาสตร์สมเด็จพระบูรพกษัตริย์แห่งสยาม” ได้รับการเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในวันที่ 27 มีนาคม 2558 หลังจาก พล.อ. อุดมเดช ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้รับทราบว่าจะมีการจัดสร้าง โดยหากมีความจำเป็นอาจจะของบประมาณจากที่ประชุม ครม.

– ชื่อ “อุทยานราชภักดิ์” ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ช่วงปลายเดือนเมษายน 2558 ก่อนที่ พล.อ. อุดมเดช จะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการนี้อย่างยิ่งใหญ่ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.)

– พล.อ. อุดมเดช เป็นผู้เปิดเผยว่า โครงการนี้น่าจะใช้เงินราว 700-800 ล้านบาท ก่อนจะบอกในเวลาต่อมาว่าอาจต้องใช้เงินเพิ่มเติมอีก 200-300 ล้านบาท โดยสรุปคือโครงการนี้น่าจะใช้เงินราว 1,000 ล้านบาท ซึ่ง พล.อ. ธีรชัย ก็ยอมรับว่าตัวเลขอยู่ที่ประมาณนี้

– เงินบริจาคทั้งหมดในช่วงแรกจะเป็นการรับตรงเข้าสู่ “กองทุนสวัสดิการทหารบก” ธนาคารทหารไทย สาขา บก.ทบ. บัญชีกระแสรายวัน หมายเลขบัญชี 077-1-07474-7 ก่อนที่ต่อมา ทบ. จะลงนามใน MOU ร่วมกับธนาคารพาณิชย์อีก 5 แห่ง และร้านสะดวกซื้อในเครือบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้แก่ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ให้เป็นอีกช่องทางในการรับบริจาค

มูลนิธิราชภักดิ์ จดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558 โดยมี พล.อ. อุดมเดช เป็นประธาน

– เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2558 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดอุทยานราชภักดิ์

พล.อ. อุดมเดช ให้เหตุผลถึงการจัดสร้างอุทยานแห่งนี้ ไว้ในงานแถลงข่าวเปิดตัวที่ บก.ทบ. เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2558 ว่า (ดูคลิปด้านบน ระหว่างนาทีที่ 04.55 – นาทีที่ 06.30) วัตถุประสงค์ของการสร้างอุทยานราชภักดิ์มีหลักๆ อยู่ 3 ประการ

  1. เป็นวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะสมเด็จพระบูรพกษัตริย์ในทุกยุคทุกสมัย ให้ทุกคนได้ระลึกถึงคุณงามความดีและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
  2. สถานที่แห่งนี้ เราจะใช้ประกอบพิธีการไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการของ ทบ. เอง หรือส่วนราชการอื่น หรือภาคเอกชนเองก็ตาม เพราะมีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร
  3. เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจะสามารถเรียนรู้ได้จากห้องพระราชประวัติ ที่จะร้อยเรียงความเข้าใจตั้งแต่เริ่มต้นสยามประเทศ

(คลิปเดิม ระหว่างนาทีที่ 01.36 – นาทีที่ 03.23) “พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงมีคุณูปการใหญ่หลวงต่อประเทศชาติของเรา แต่ละพระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพ มีพระปรีชาสามารถ ไม่ว่าจะเรื่องของการนำทัพในการรบ หรือในยามสงบก็ตาม พระมหากษัตริย์ของเราในทุกยุคทุกสมัยนั้นได้เสียสละความสุขส่วนพระองค์ และดูแลประชาราษฎร์มาอย่างดีที่สุด จนพวกเราทุกคนได้มาอยู่บนผืนแผ่นดินที่มีความเจริญและสงบจนถึงทุกวันนี้ … ทบ. ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ของเราในทุกยุคทุกสมัย จึงได้คิดกันว่าจะทำอย่างไรที่จะก่อสร้างสถานที่ที่เป็นที่ระลึกของปวงชนชาวไทยต่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ จึงได้กำหนดให้มีการก่อสร้างเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ขึ้น”

เส้นทางเงินอุทยานราชภักดิ์

เงินมาจากไหน

ผู้เกี่ยวข้องในกองทัพและบุคคลสำคัญในรัฐบาลต่างยืนยันตรงกันว่า เงินที่ใช้ในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ เป็น “เงินบริจาค” ไม่ใช่งบประมาณของภาครัฐ หรือ “เงินหลวง” แต่จากข่าวที่ปรากฏ ก็พบว่า การเบิกจ่ายเงินบางส่วนในโครงการนี้ยังทำโดยหน่วยงานภายใต้ ทบ. เช่น กรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.) กรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.) เป็นต้น

จากการตรวจสอบข้อมูลที่มีการเปิดเผยทั้งผ่านเว็บไซต์ของ ทบ. และหน่วยงานใต้สังกัด, เว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 และข้อมูลเปิดเผยจากแหล่งอื่นๆ อาทิ จากสื่อมวลชน พบว่า ยอดบริจาคให้กับการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่สามารถตรวจสอบได้มี อย่างน้อย 468 ล้านบาท

โดยจะอนุมานว่าการบริจาคเงินที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 16 กันยายน 2558 (วันจดทะเบียนจัดตั้ง “มูลนิธิราชภักดิ์” อย่างเป็นทางการ) จะถูกส่งเข้าบัญชีของ “กองทุนสวัสดิการทหารบก” ทั้งหมด แบ่งเป็น

1. ข้อมูลที่ปรากฏในเว็บไซต์ของ ทบ. และหน่วยงานใต้สังกัด กว่า 292 ล้านบาท

1.1 ภาพการรับบริจาคของ พล.อ. อุดมเดช จากบริษัทเอกชน ในงานแถลงเปิดตัวการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2558 ที่ บก.ทบ.

  • บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) 100 ล้าน
  • เครือเจริญโภคภัณฑ์ 80 ล้าน
  • บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 44.5 ล้าน
  • บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 30 ล้าน
  • (ชื่อไม่ชัดเจน) 25 ล้าน
  • บริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง (ชื่อไม่ชัดเจน) … ล้านบาท
  • บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) 11.8 ล้านบาท

1.2 ข่าวประชาสัมพันธ์ในเว็บไซต์ของ ทบ. และหน่วยงานใต้สังกัด

  • การไฟฟ้านครหลวง 1 ล้านบาท

2. ข้อมูลที่ปรากฏในเว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง5 มีรายชื่อผู้บริจาครวม 1,288 ราย รวมเป็นเงิน กว่า 55 ล้านบาท

3. จากการระดมทุนผ่านงาน “ราชภักดิ์ Bike and Concert แทนคุณแผ่นดิน” กว่า 80 ล้านบาท

4. ข้อมูลที่ปรากฏในสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะหน้าข่าวประชาสัมพันธ์ กว่า 41 ล้านบาท

  • บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด 30 ล้านบาท
  • บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 5 ล้านบาท
  • สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่องเจ็ด 2 ล้านบาท
  • เงินจาการจัดงานการกุศลของผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์ 2.2 ล้านบาท
  • บริษัท ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 1 ล้านบาท
  • การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 3 แสนบาท
  • บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) 2 แสนบาท
  • บริษัท โพลีพลัส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด 1 แสนบาท
  • บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) 1 แสนบาท
  • การไฟฟ้านครหลวง 1 แสนบาท

ขณะที่เงินบริจาคที่ให้ผ่านมูลนิธิราชภักดิ์ ยังไม่สามารถตรวจสอบได้

ทั้งนี้ แม้ พล.อ. ธีรชัย จะปฏิเสธให้ข้อมูลเรื่องยอดเงินบริจาคทั้งหมด แต่ได้บอกว่า ยังมีเงินบริจาคที่อยู่ในกองทุนสวัสดิการ ทบ. เหลืออยู่ราว 100-120 ล้านบาท ส่วนมูลนิธิราชภักดิ์ เหลืออยู่ราว 33 ล้านบาท

(นอกเหนือจากเงินบริจาค ที่มาของเงินที่ใช้ในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์บางส่วนยังมาจากงบประมาณแผ่นดิน โดยนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีการใช้งบกลางกว่า 63 ล้านบาท ในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์)

ชการช่างบริจาค100ล้าน

บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทเอกชนที่บริจาคเงินเพื่อใช้ในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์สูงสุด เป็นเงิน 100 ล้านบาท ที่มาภาพ: http://www.rta.mi.th/rtaweb/activity/page58/140/index.html (ปัจจุบัน ลิงก์นี้ไม่สามารถเข้าดูได้แล้ว)

การใช้จ่ายกับความโปร่งใส

จากการเปิดเผยของ พล.อ. อุดมเดช ยอดเงินที่จะใช้ในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์จะอยู่ที่ราว 800-1,000 ล้านบาท แต่ถึงปัจจุบัน ข้อมูลเรื่องการใช้จ่ายเงินบริจาคเพื่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่มีการเปิดเผยอย่างละเอียดมีเพียงค่าใช้จ่ายในการหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์ไทย 7 พระองค์ ซึ่ง พล.อ. ธีรชัย เปิดเผยว่า อยู่ที่องค์ละ 41-45 ล้านบาท หรือมียอดรวมระหว่าง 287-315 ล้านบาท ดำเนินการโดยกรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.)

รายการใช้จ่ายอื่นๆ แม้ผู้เกี่ยวข้องจะระบุว่า “ยินดีเปิดเผย…พร้อมรับการตรวจสอบ” แต่ก็ไม่เคยมีการเปิดเผยอย่างจริงจัง

ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบในเว็บไซต์ของ ทบ. และหน่วยงานใต้สังกัด ซึ่งตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 กำหนดให้ต้องเปิดเผยรายการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดรวมถึงการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (เว็บไซต์) เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจสอบดูได้ รวมถึงได้เดินทางไปที่ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารของ ทบ. ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 4 ของอาคารสำนักงานเลขานุการกองทัพบก (สลก.ทบ.) เพื่อขอใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540

อย่างไรก็ตาม แม้จะพยายามตรวจสอบโดยใช้ 2 วิธีการดังกล่าว ก็ยังพบโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องกับการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์เพียง 5 โครงการ รวมทั้งหมด 4 ประเภท ซึ่งทั้งหมดดำเนินการโดยกรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.) ประกอบด้วย

  • งานปูหินลานสักการะ บันได และลานชั้นบนรอบแท่นพระบรมรูป วงเงิน 34.9 ล้านบาท
  • งานสร้างรั้วบริเวณภายในและภายนอกอุทยานราชภักดิ์ (2 โครงการ) รวมวงเงิน 20.2 ล้านบาท
  • งานติดตั้งหินอ่อนรอบแท่นพระบรมรูป วงเงิน 11.9 ล้านบาท
  • งานสร้างป้ายทางเข้าและอาคารรักษาความปลอดภัย วงเงิน 7.2 ล้านบาท

เมื่อรวมวงเงินการใช้จ่ายทั้ง 2 รายการ ตั้งแต่การหล่อพระบรมรูปฯ (ซึ่งตามาข่าวระบุว่า ดำเนินการโดยกรมกิจการพลเรือนทหารบก) การปูลานหิน การสร้างรั้ว การติดตั้งหินอ่อน มาจนถึงการสร้างป้ายทางเข้าและอาคาร รปภ. พบว่ายังมียอดรวมแค่ กว่า 361.2-389.2 ล้านบาท เท่านั้น ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเงินที่ พล.อ. อุดมเดช ระบุว่าจะใช้ในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ทั้งหมด แสดงว่ายังมีการใช้จ่ายบางรายการที่ “ยังตรวจสอบไม่พบ” ผู้สื่อข่าวจึงใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ มาตรา 11 ยื่นขอข้อมูลเพิ่มเติมจากศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารของ ทบ. ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการดำเนินการ

การรับเงินบริจาคและใช้จ่ายเงินเพื่อจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์เกิดข้อสงสัยมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งหากพิจารณาจากข่าวที่ปรากฏในสื่อมวลชน ข้อมูลส่วนใหญ่จะมาจากทีมสืบสวนสอบสวน (ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ขยายผลมาจากการสืบสวนสอบสวนคดีที่กล่าวหาว่า นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอดูหยอง กับพวก แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) มาตรา 112 โดยมีข้อสงสัย เช่น

  • โต๊ะจีนรับบริจาคในกิจกรรม “ราชภักดิ์ Bike and Concert แทนคุณแผ่นดิน” มีราคาสูงถึง 1 ล้านบาท
  • ต้นปาล์มที่นำมาปลูกบริเวณอุทยานราชภักดิ์มีราคาสูงเกินจริงถึงต้นละ 1 แสนบาท ทั้งที่ได้รับบริจาคมาฟรีจากสวนนงนุช (กรณีนี้ พล.อ. ธีรชัย ชี้แจงแล้ว)
  • ผู้เกี่ยวข้องกับการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์บางรายถูกออกหมายจับ โดยศาลทหารกรุงเทพได้ออกหมายจับ พล.ต. สุชาติ พรมใหม่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ ทบ. ซึ่งเคยเป็นกรรมการอำนวยการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ และ พ.อ. คชาชาต บุญดี อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำกองทัพภาคที่ 3 คนสนิทกับ พล.ต. สุชาติ ในข้อหากระทำความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 112 (สื่อมวลชนสายทหารระบุว่า ทั้ง พล.ต. สุชาติและ พ.อ. คชาชาต มีความใกล้ชิดกับ พล.อ. อุดมเดช) ขณะที่เว็บไซต์หนังสือไทยรัฐรายงานว่า ทีมสอบสวนของ สตช. อยู่ระหว่างตรวจสอบเรื่องการจัดทำเสื้อที่ระลึกในงาน “ราชภักดิ์ Bike and Concert แทนคุณแผ่นดิน” ที่ พ.อ. คชาชาต เป็นผู้รับผิดชอบว่ามีความผิดปกติหรือไม่
จากซ้ายไปขวา พ.อ คชาชาต บุญดี และ พล.ต. สุชาติ พรมใหม่ ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1002453916479733&set=a.440635312661599.102230.100001454030105&type=3&theater

(จากซ้ายไปขวา) พ.อ คชาชาต บุญดี อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำกองทัพภาคที่ 3 และ พล.ต. สุชาติ พรมใหม่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก 2 นายทหารซึ่งสื่อมวลชนสายทหารระบุว่ามีความใกล้ชิดกับ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่ถูกศาลทหารกรุงเทพออกหมายจับ ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1002453916479733&set=a.440635312661599.102230.100001454030105&type=3&theater

แต่กรณีที่ถูกตรวจสอบอย่างจริงจังมากคือกรณีการหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์ไทยที่ทีมสืบสวนสอบสวนของ สตช. อ้างว่า มีการหักหัวคิวเกิดขึ้น โดยตัวละครสำคัญที่ทีมสืบสวนสอบสวนของ สตช. กำลังตรวจสอบ คือ เซียนพระ ชื่อเล่นอักษรย่อ “อ.อ่าง” มีรายละเอียดเบื้องต้น ดังนี้

1. พระบรมรูปพ่อขุนรามคำแหง หล่อโดย บริษัท ช.ประติมากรรม อินดัสตรี จำกัด ตั้งอยู่ที่ 30/3 หมู่ 6 ต.วังเย็น อ.เมือง จ.นครปฐม วงเงิน 43 ล้านบาท เซียนพระหักหัวคิว 10%

2. พระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวร หล่อโดย บริษัท เอเชีย ไฟน์อาร์ท จำกัด เลขที่ 59/1 ต.บ้านม้า อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา วงเงินยังไม่แน่ชัด ไม่มีการหักหัวคิว

3. สมเด็จพระนารายณ์ หล่อโดยบริษัท ร็อคคลา ไฟน์ อาร์ท จำกัด เลขที่ 143 หมู่ 12 ต.ท่าวุ้ง อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เซียนพระหักหัวคิว 10%

4. สมเด็จพระเจ้าตากสิน หล่อโดย หจก.ประติมาไฟน์อาร์ท เลขที่ 89 หมู่ที่ 12 กม.58 ถนนกาญจนาภิเษก ต.คูบางหลวง อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี วงเงิน 44 ล้านบาท เซียนพระหักหัวคิว 10%

5. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หล่อโดย บริษัท พุทธปฏิมา พรหมรังสี จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 52/25 ถนนพุทธมณฑลสาย 3 เขตทวีวัฒนา กทม. วงเงิน 43 ล้านบาท เซียนพระหัวคิว 4.7 ล้านบาท

6. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หล่อโดย บริษัท เอเชีย ไฟน์อาร์ท จำกัด เลขที่ 59/1 ต.บ้านม้า อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา วงเงินยังไม่แน่ชัด ไม่มีการหักหัวคิว

7. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หล่อโดย บริษัท โผนประติมากรรมสากล จำกัด วงเงิน 42 ล้านบาท หักหัวคิว 8 ล้านบาท

โดย พล.อ. อุดมเดช ได้ชี้แจงถึงกระแสข่าวเรื่องนี้ว่า “เรื่องนี้มีส่วนความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดเพราะตนคิดว่าทุกวงการก็มีสิ่งเหล่านี้ แต่พอเราทราบว่าน่าจะมีเราก็เข้าไปดำเนินการ โรงหล่อต่างๆ ก็มีความเข้าใจ คนที่สอดแทรกมาก็เป็นการแอบอ้าง แต่ทุกอย่างยุติลงด้วยดี สิ่งที่โรงหล่อต่างๆ อาจจะถูกหลอก โรงหล่อต่างๆ เองก็ไม่อยากให้เกิดอะไรเสียหาย เขาจึงมีการบริจาคโดยสมัครใจส่วนหนึ่ง อีกบางส่วนโรงหล่อก็นำไปใช้ในการทำองค์พระให้สมบูรณ์ ทุกอย่างจบเสร็จด้วยความเรียบร้อย สะอาด บริสุทธิ์ทุกขั้นตอน”

ด้านเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ข่าวสด รายงานว่า มูลค่าหัวคิวที่เซียนพระหักไปจากการหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์ไทย รวมเป็นเงินกว่า 20 ล้านบาท แต่ผู้เกี่ยวข้องได้เรียกเซียนพระมาพูดคุยที่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่งบนถนนราชดำเนิน ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา ก่อนที่เซียนพระจะยอมคืนเงินค่าหัวคิวโดยบริจาคเข้ามูลนิธิราชภักดิ์ และได้เดินทางออกนอกประเทศไปยังเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า พยายามติดต่อขอสัมภาษณ์เซียนพระรายดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันยังอาศัยอยู่ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ถึงกระแสข่าวความไม่โปร่งใสในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้เรื่องเงียบที่สุด

ทั้งหมดทั้งปวง คือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่สังคมไทยกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้

ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 2 ปี “คุณหญิงจารุวรรณ” อดีตผู้ว่าฯ สตง. คดีเบิกค่าจัดสัมมนาเท็จ

$
0
0
คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่มาภาพ : http://www.posttoday.com/crime/402354

คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่มาภาพ: http://www.posttoday.com/crime/402354

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ รายงานว่า ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนายคัมภีร์ สมใจ อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารงานและทรัพยากรบุคคล สตง. ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด คุณหญิงจารุวรรณและนายคัมภีร์ ว่า ขณะคุณหญิงจารุวรรณดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง. ได้ร่วมกันกับนายคัมภีร์ จัดให้มีการสัมมนาขึ้นที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2546 ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสัมมนากันจริง แต่จัดสัมมนาเพื่อให้บุคคลที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนาได้ไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน อีกทั้งยังสามารถเบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้

ทั้งนี้ ศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จากหลักฐานทั้งหมดของโจทก์ สามารถนำมาหักล้างกับคำให้การของจำเลยทั้ง 2 ได้ ซึ่งจำเลยทั้ง 2 ถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 83 พิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

จากนั้น คุณหญิงจารุวรรณและนายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 2 แสน ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งอยู่ระหว่างศาลพิจารณาว่าจะให้ประกันหรือไม่

ด้านคุณหญิงจารุวรรณกล่าวว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่า ที่มีการมาร้องตนในคดีนี้ เพราะมีใครบางคนถูก สตง. เข้าไปตรวจสอบ จึงเป็นที่มาการร้องคดีนี้ เรื่องนี้ยังไม่อยากพูดมากในตอนนี้ ที่ผ่านมา ตนหาเงินให้ประเทศเป็นแสนล้านบาท คิดว่าเงินแค่ 2 แสนกว่าบาท ตนจะโกงหรือไม่ ทั้งนี้ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ส่วนจะยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีประเด็นไหนนั้น ขอปรึกษาทางทนายความก่อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดคุณหญิงจารุวรรณและนายคัมภีร์ในคดีนี้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 โดยนอกจากความผิดทางอาญา นายคัมภีร์ยังมีความผิดทางวินัยด้วย และได้ยกคำร้องในส่วนของ น.ส.วิไลลักษณ์ อัญมณีรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานผู้ว่าฯ สตง. ในขณะนั้น และนายวิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สตง. ในขณะนั้น เพราะเห็นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด

ทั้งนี้ คุณหญิงจารุวรรณ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง. ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2544 – วันที่ 5 กรกฎาคม 2553 (พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์) ทั้งนี้ ในช่วงก่อนคุณหญิงจารุวรรณจะพ้นตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง. ได้เกิดปัญหาเรื่องการตีความข้อกฎหมาย เมื่อคุณหญิงจารุวรรณ อ้างประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 29 ขอรักษาการในตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง. ต่อไปจนกว่าการสรรหาคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) และผู้ว่าฯ สตง. คนใหม่จะเสร็จสิ้น ก่อนที่คณะกรรมการกฤษฎีกาจะตีความว่า คุณหญิงจารุวรรณขาดคุณสมบัติการเป็นรักษาการผู้ว่าฯ สตง. แล้วเนื่องจากมีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ก่อนที่ในเดือนตุลาคม 2553 ศาลปกครองจะมีคำพิพากษายืนยันว่า คุณหญิงจารุวรรณได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง. ไปแล้ว

นอกจากนี้  คุณหญิงจารุวรรณยังเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 30

“ปนัดดา”เลี่ยงตอบ ทบ. ขอบริจาคเงินสร้าง “ราชภักดิ์”ถูกระเบียบสำนักนายกฯ หรือไม่ –ป.ป.ช. ยังไม่รับเป็นคดี ชี้ยังไม่สงสัยว่าทุจริต

$
0
0
581201ปนัดดา

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ (กคร.) ที่มาภาพ: http://news.voicetv.co.th/thailand/164916.html

จากกรณีที่มีการเปิดเผยข้อมูลว่า การที่หน่วยงานของรัฐจะเรี่ยไร (ซึ่งรวมถึงการขอรับเงินบริจาค) เพื่อนำไปใช้ในกิจการใดๆ จะต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไร่ของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2544 โดยจะต้องขออนุมัติจาก “คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ (กคร.)” ที่ปัจจุบันมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยในคำขอจะต้องบอกวัตถุประสงค์ วิธีการ ระยะเวลา และวงเงินที่จะทำการเรี่ยให้ กคร. ได้พิจารณา

ทั้งนี้ ตามระเบียบสำนักนายกฯ ดังกล่าว ข้อ 20 (4) (5) กำหนดว่า เมื่อหน่วยงานของรัฐดังกล่าวเรี่ยไรเสร็จสิ้น จะต้องจัดทำบัญชีให้เสร็จภายใน 90 วัน (หรือหากเป็นเรี่ยไรต่อเนื่องให้ทำทุก 3 เดือน) พร้อมเปิดเผยให้บุคคลทั่วไปได้ทราบภายใน 30 วัน ทั้งนี้ จะต้องส่งบัญชีดังกล่าวให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบด้วย

นำไปสู่ข้อสงสัยว่า การเรี่ยไรหรือขอรับเงินบริจาคของกองทัพบก (ทบ.) เพื่อใช้ในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่บริเวณโรงเรียนนายสิบทหารบก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทาง ทบ. ได้ขออนุมัติจาก กคร. อย่างถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกฯ ดังกล่าวหรือไม่ และกำหนดวงเงินไว้จำนวนเท่าใด

ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อสอบถามกรณีดังกล่าวจาก ม.ล.ปนัดดา โดยขอสัมภาษณ์ครั้งแรกหลังงานแถลงข่าวหนึ่งในช่วงเย็นของวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 แต่ ม.ล.ปนัดดากล่าวปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่อง และตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการชุดดังกล่าว

วันถัดมา ในวันที่ 1 ธันวาคม 2558 ผู้สื่อข่าวจึงได้นำเอกสารที่ ม.ล.ปนัดดา ลงนามในฐานประธาน กคร. ไปให้ดูภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พร้อมสอบถามว่า ทบ. ได้ขออนุมัติเรี่ยไรหรือขอรับบริจาคเงินไปใช้ในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกฯ ฉบับนี้หรือไม่ และขอเป็นวงเงินเท่าใด แต่ ม.ล.ปนัดดากล่าวว่า “เรื่องนี้ผมยังไม่ทราบเรื่อง ขอเวลาศึกษาก่อน แล้วถึงจะมาตอบคำถามได้”

เมื่อถามว่าหากยึดตามระเบียบสำนักนายกฯ นี้ ถ้าหน่วยงานของรัฐใดจะขอเรี่ยไรหรือรับเงินบริจาคจะต้องขออนุมัติจาก กคร. ก่อนใช่หรือไม่ ม.ล.ปนัดดากล่าวว่า ตามระเบียบและหลักธรรมาภิบาลควรจะเป็นเช่นนั้น

เมื่อถามว่า แสดงว่าการที่ ทบ. จะเรี่ยไรหรือขอรับเงินบริจาคก็ต้องมาขอให้ กคร. อนุมัติ ถูกต้องหรือไม่ ม.ล.ปนัดดาปฏิเสธจะตอบคำถามเช่นเดิม บอกเพียงว่า “ขอเวลาศึกษาก่อน” ก่อนขึ้นรถยนต์เดินทางออกไป

“อุดมเดช” ไม่ลาออก รมช.กลาโหม วอนรอผลสอบก่อน

ด้าน พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อรับผิดชอบเรื่องความไม่โปร่งใสในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า “ผมก็กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามปกติ ทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่” พร้อมระบุว่า อยากให้รอผลการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงกลาโหม (กห.) ที่มี พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัด กห. เป็นประธาน แต่ส่วนตัวยังยืนยันว่าดำเนินการทุกอย่างด้วยความโปร่งใส เพราะอุทยานราชภักดิ์เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่ตนทำก่อนจะเกษียณในฐานะ ผบ.ทบ.

“ผมยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ เพราะจุดประสงค์ของโครงการก็คือให้ประชาชนได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้เป็นสมบัติของชาติ เราไม่คิดหวังจะเอาประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านี้” พล.อ. อุดมเดช กล่าว

พล.อ. อุดมเดช ยังกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจมีบางคนนั่งยิ้มเพราะคิดว่าสามารถยิงนกได้หลายตัว แต่อยากให้ลองคิดดูว่าสิ่งที่เขาพยายามทำอยู่เป็นการกลับขาวให้เป็นดำ หากทำสำเร็จประเทศชาติก็จะอันตราย แต่ตนไม่ขอบอกว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร

581201ราชภักดิ์

ที่มาภาพ: http://thainews.prd.go.th/website_th/news/print_news/TNSOC5809010010019

รอง ปธ.มูลนิธิราชภักดิ์ ไม่รู้ยอดเงิน “บริจาค-ก่อสร้าง” โยนถามกรมกิจการพลเรือนทหารบก ชี้รู้ดีที่สุด

พล.อ. สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะอดีตรองประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ กล่าวว่า แม้ตนจะเป็นรองประธานคณะกรรมการอำนวยการฯ แต่ไม่รู้รายละเอียดเรื่องยอดเงินบริจาคและงบที่ใช้ในการจัดสร้างทั้งหมด เพราะในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ แต่ละครั้ง จะมีการรายงานข้อมูลมาเป็นส่วนๆ และมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ไปดูแลงานแต่ละส่วนอยู่แล้ว ทำให้ตนไม่ทราบตัวเลขรวมของยอดเงินบริจาคและงบที่ใช้ในการจัดสร้างทั้งหมด คนที่รู้ตัวเลขนี้ดีที่สุดน่าจะเป็นเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.) ซึ่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้าง

“การประชุมคณะกรรมการอำนวยการฯ ครั้งสุดท้าย ที่มีการสรุปตัวเลข ผมก็ไม่ได้เข้าประชุมด้วย เพราะเกษียณอายุราชการไปแล้ว หากต้องการรู้ตัวเลขทั้งหมดควรจะไปถามจากทาง กร.ทบ. น่าจะดีกว่า” พล.อ. สุรเชษฐ์ กล่าว

สำหรับตัวเลขยอดเงินบริจาคที่ยังเหลืออยู่ในมูลนิธิราชภักดิ์ พล.อ. สุรเชษฐ์ ในฐานะรองประธานมูลนิธิฯ กล่าวว่า ตนก็ไม่รู้ยอดเงินบริจาคเช่นกัน เพราะมูลนิธิฯ เพิ่งเคยประชุมไปครั้งเดียวช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ก็เป็นการคุยเรื่องทั่วไปธรรมดา ยังไม่คุยเรื่องตัวเงิน หลังจากนั้นมูลนิธิฯ ก็ไม่เคยมีการประชุมอีกเลย

พล.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ทุนที่ใช้ในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์มาจากหลายแหล่ง มีทั้งเงินบริจาค งบกลาง บางครั้งก็มาเป็นสิ่งของ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเงินบริจาค ซึ่งการใช้จ่ายในการจัดซื้อจัดจ้างจะทำผ่านหน่วยงานภายในกองทัพบก (ทบ.) โดยเฉพาะ กร.ทบ. และกรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.) เป็นหลัก ทั้งนี้ ส่วนงบกลางกว่า 63 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ ทบ. ขออนุมัติเพื่อดำเนินการเอง ไม่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างฯ แต่อย่างใด

พล.อ. สุรเชษฐ์ ยังกล่าวว่า ตนพร้อมให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ของกระทรวงกลาโหม ที่มี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้เรียกมาให้เข้าไปชี้แจง ถ้าเมื่อใดที่เรียกมาตนก็พร้อมจะเข้าไปอธิบายที่มาที่ไปของโครงการนี้ให้คณะกรรมการฯ ได้รับทราบ หลังจากเคยไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมการฯ ของ ทบ. ที่มี พล.อ. วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. เป็นประธานมาแล้วก่อนหน้านี้

เมื่อถามว่าได้คุยกับ พล.อ. อุดมเดช เรื่องกระแสกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ พล.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวว่า “ยังไม่ได้พูดคุยกันเลย”

อดีตปลัดบัญชี ทบ. แจงใช้เงิน “กองทุนสวัสดิการฯ” สร้างราชภักดิ์ได้

พล.อ. ชาตอุดม ติตถะสิริ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) กล่าวว่า คตร. คงยังไม่ต้องเข้าไปตรวจสอบการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ เนื่องจากขณะนี้มีคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ กห. กำลังดำเนินการอยู่

เมื่อถามว่า ในฐานะอดีตปลัดบัญชีกองทัพบก (พล.อ. ชาตอุดม เป็นปลัดบัญชีกองทัพบก ระหว่างปี 2554-2556) การใช้จ่ายเงินจากกองทุนสวัสดิการกองทัพบกในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสามารถทำได้หรือไม่ พล.อ. ชาตอุดม กล่าวว่า การใช้จ่ายเงินจากกองทุนสวัสดิการกองทัพบกจะมีระเบียบรองรับอยู่ว่าใช้จ่ายในวัตถุประสงค์อะไรได้บ้าง ซึ่งเท่าที่ตนทราบ การนำเงินมาใช้จัดสร้างอุทยานราชภักดิ์เป็นไปตามระเบียบดังกล่าว

เมื่อถามว่า สมัยที่เป็นปลัดบัญชีกองทัพบก เคยมีการนำเงินจากกองทุนสวัสดิการฯ ไปใช้ก่อสร้างในลักษณะนี้หรือไม่ พล.อ. ชาตอุดม กล่าวว่า ไม่มีครับ

ป.ป.ช. ยังไม่รับไว้เป็นคดี ชี้ยังไม่มี “เหตุอันสงสัย” ว่าทุจริต

ด้านนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงมีมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีการพิจารณากรณีอุทยานราชภักดิ์ด้วย ว่า หลังจากสั่งให้สำนักการข่าวของ ป.ป.ช. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง จนได้ข้อมูลภาพรวมทั้งหมด ที่ประชุมเห็นว่ายังไม่พบข้อมูลที่ชัดเจนว่าเข้าข่ายการทุจริต จึงยังไม่รับเรื่องนี้ไว้เป็นคดี แต่เนื่องจากขณะนี้มี 3 หน่วยงานอยู่ระหว่างตรวจสอบความโปร่งใสในการจัดสร้างอุทยานดังกล่าว ทั้งกระทรวงกลาโหม กองปราบปราม และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งตามกฎหมายกำหนดว่า หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดต้องส่งเรื่องมาให้ ป.ป.ช. ดำเนินการภายใน 30 วัน ดังนั้น ป.ป.ช. จะติดตามการทำงานของทั้ง 3 หน่วยงาน ว่ามีเหตุอันควรสงสัยให้ ป.ป.ช. รับเรื่องมาดำเนินการหรือไม่

“การรับเรื่องสำคัญไว้เป็นคดีโดยไม่ต้องมีผู้ร้องเรียนในอดีตของ ป.ป.ช. จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงและเหตุอันควรสงสัย ถึงจะเข้าไปดำเนินการได้ แต่กรณีอุทยานราชภักดิ์ ขณะนี้ยังไม่มีเหตุอันควรสงสัย”

เลขาฯ ป.ป.ช. ยังกล่าวว่า หากหลังจากนี้ มีผู้มาร้องเรียนก็ต้องระบุให้ชัดว่าร้องเรียนใคร เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ และมีพฤติการณ์การกระทำผิดอย่างไร มีพยานหลักฐานหรือไม่ ถึงจะเสนอให้ที่ประชุม ป.ป.ช. พิจารณารับไว้เป็นคดีเพื่อเริ่มต้นการแสวงหาข้อเท็จจริงได้

เมื่อถามว่า พล.อ. อุดมเดช ยอมรับว่ามีการหักหัวคิวโรงหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์ไทยบางพระองค์จริง นายสรรเสริญ กล่าวว่า ต้องดูก่อนว่าใครเป็นคนหักหัวคิว มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องหรือไม่ เช่นเดียวกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องต้นปาล์มมีราคาแพงเกินจริง ก็ต้องดูว่าเป็นเงินที่มาจากการบริจาคหรือเป็นงบประมาณของแผ่นดิน

หัวหน้า คสช.ใช้ ม.44 ให้ “ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ” พ้นหน้าที่ประธาน ป.ป.ช. เปิดทางเลือกคนใหม่

$
0
0
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ อดีตประธานกรรมการ ป.ป.ช. ที่มาภาพ: http://news.voicetv.co.th/thailand/190650.html

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ อดีตประธานกรรมการ ป.ป.ช. ที่มาภาพ: http://news.voicetv.co.th/thailand/190650.html

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2558 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 45/2558 เรื่อง การเลือกประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มาตรา 44 ลงนามโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.

โดยคำสั่งหัวหน้า คสช. ดังกล่าว มีสาระสำคัญ 2 ประเด็น

  1. ให้นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 28/2558 พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ
  2. ให้สำนักงาน ป.ป.ช. จัดให้มีการประชุมกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งชุดเก่า 4 คน และชุดใหม่อีก 5 คน เพื่อเลือกให้คนหนึ่งเป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช. คนใหม่ แล้วแจ้งผลให้ประธานสภานิติบัญญัติ (สนช.) รับทราบ เพื่อนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุที่หัวหน้า คสช. ต้องออกคำสั่งฉบับนี้ เนื่องมาจากก่อนหน้านี้เคยออกคำสั่ง คสช. ถึง 2 ฉบับ คือ คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 12/2558 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 28/2558 ต่ออายุให้นายปานเทพ ซึ่งเดิมต้องพ้นจากตำแหน่งประธานกรรมการ ป.ป.ช. ไปตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2558 เนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ เพื่อให้การสรรหากรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ เกิดขึ้นไปในคราวเดียวกันกับการสรรหาคนที่จะมาแทนกรรมการ ป.ป.ช. อีก 4 คน ได้แก่ นายวิชา มหาคุณ, นายวิชัย วิวิตเสวี, นายภักดี โพธิศิริ และนายประสาท พงษ์ศิวาภัย ที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี ในวันที่ 21 กันยายน 2558

โดยบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ จำนวน 5 คน ประกอบด้วย พล.อ. บุณยวัจน์ เครือหงส์, พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ, นายวิทยา อาคมพิทักษ์, นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร และนางสุวณา สุวรรณจูฑะ โดยที่ประชุม สนช. มีมติเห็นชอบรายชื่อนี้ไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา

เริ่มทำงาน ป.ป.ช .ชุดที่ 4 – บางคนอยู่ในตำแหน่งถึงปี 67

สำหรับการคัดเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช. คนใหม่ จะเป็นการเปิดศักราชการทำงานใหม่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่ 4 โดยไม่มีบุคคลจากชุดที่ 3 ซึ่งได้รับแต่งตั้งโดยประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 19 หลงเหลืออยู่เลย

– คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่ 1 มีนายโอภาส อรุณินท์ เป็นประธาน ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2542-2546

– คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่ 2 มี พล.ต.อ. วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ เป็นประธาน ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2547-2548 (พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา พิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี เปลี่ยนโทษเป็นรอลงอาญา 2 ปี ในคดีขึ้นค่าตอบแทนให้กับตนเอง)

– คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่ 3 มีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2549-2558

ทั้งนี้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้กรรมการ ป.ป.ช. มีวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี เว้นแต่จะพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุผลอื่น อาทิ ลาออก อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ ฯลฯ เป็นต้น โดยหากพิจารณาจากคุณสมบัติของกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันทั้ง 9 คน จะมีคนที่พ้นจากตำแหน่ง ตั้งแต่ปี 2562 ไปจนถึงปี 2567 ประกอบด้วย

1. กรรมการ ป.ป.ช. ชุดเก่า

  • นายปรีชา เลิศกมลมาศ (พ้นจากตำแหน่งปี 2562, ครบวาระการดำรงตำแหน่ง)
  • พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง (พ้นจากตำแหน่งปี 2564, ครบวาระการดำรงตำแหน่ง)
  • นายณรงค์ รัฐอมฤต (พ้นจากตำแหน่งปี 2565, ครบวาระการดำรงตำแหน่ง)
  • นางสาวสุภา ปิยะจิตติ (พ้นจากตำแหน่งปี 2566, ครบวาระการดำรงตำแหน่ง)

2. กรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่

  • พล.อ. บุณยวัจน์ เครือหงส์ (พ้นจากตำแหน่งปี 2565, อายุครบเจ็บสิบปีบริบูรณ์)
  • พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ (พ้นจากตำแหน่งปี 2567, ครบวาระการดำรงตำแหน่ง)
  • นายวิทยา อาคมพิทักษ์ (พ้นจากตำแหน่งปี 2567, ครบวาระการดำรงตำแหน่ง)
  • นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร (พ้นจากตำแหน่งปี 2563, อายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์)
  • นางสุวณา สุวรรณจูฑะ (พ้นจากตำแหน่งปี 2567, ครบวาระการดำรงตำแหน่ง)

สำหรับค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการ ป.ป.ช. ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องระบุไว้ว่า ในปัจจุบัน ประธานกรรมการ ป.ป.ช. จะได้ค่าตอบแทน 119,920 บาท/เดือน แบ่งเป็นเงินเดือน 74,420 บาท/เดือน และเงินประจำตำแหน่ง 45,500 บาท/เดือน ส่วนกรรมการ ป.ป.ช. จะได้ค่าตอบแทนรวม 115,740 บาท/เดือน แบ่งเป็นเงินเดือน 73,240 บาท/เดือน และเงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท/เดือน ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ

มติ ป.ป.ช. เลือก “พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ”เป็นประธานคนใหม่ เจ้าตัวปัดเป็นคนของ คสช. “พร้อมรับการตรวจสอบ”

$
0
0
พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ที่มาภาพ : http://www.policeradiothailand.com/wp/2014/05/26/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%96%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95%E0%B9%97/

พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ที่มาภาพ: http://www.policeradiothailand.com/wp/2014/05/26

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 มีการประชุมกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งชุดเก่า 4 คนที่ยังไม่หมดวาระ และผู้ซึ่งที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเลือกให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ อีก 5 คน เพื่อเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช. แทนนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 45/2558 โดยใช้วิธีลงคะแนนลับ มีผู้เสนอตัวลงสมัคร 2 คน ได้แก่ นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. ชุดเก่า และ พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ซึ่งที่ประชุม สนช. มีมติเลือกให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่ประชุมจะมีมติด้วยคะแนนเสียง 7:2 เลือก พล.ต.อ. วัชรพล เป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช. คนใหม่

สำหรับเสียงข้างมากที่เลือก พล.ต.อ. วัชรพล ประกอบด้วยผู้ซึ่งที่ประชุม สนช. มีมติเลือกให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ ทั้ง 5 คน ได้แก่ พล.ต.อ. วัชรพลเอง, พล.อ. บุณยวัจน์ เครือหงส์, นายวิทยา อาคมพิทักษ์, นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร และนางสุวณา สุวรรณจูฑะ รวมถึงกรรมการ ป.ป.ช. ชุดเก่าอีก 2 คน ได้แก่ นายณรงค์ รัฐอมฤต และ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ

ส่วนเสียงข้างนอกที่เลือกนายปรีชา ประกอบด้วยกรรมการ ป.ป.ช. ชุดเก่า 2 คน ได้แก่ ตัวนายปรีชาเอง และ พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนได้รับเลือกจากที่ประชุม สนช. ให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. พล.ต.อ. วัชรพล เคยเป็นอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (เลขาธิการของรองนายกฯ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ)

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ จะนำรายชื่อประธานกรรมการ ป.ป.ช. คนใหม่ รวมถึงผู้ซึ่งได้รับเลือกจากที่ประชุม สนช. ให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. อีก 4 คน ส่งให้กับนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป

ด้าน พล.ต.อ. วัชรพล กล่าวว่า ที่มีข้อครหาว่าเป็นคนที่ คสช. ส่งมานั้น ยืนยันว่าไม่ใช่ แม้จะเคยช่วยงาน พล.อ. ประวิตรมาก่อน แต่เมื่อเห็นโอกาสทำงานในมิติอื่น จึงสมัครมาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.

“ผมไม่หนักใจที่ถูกตั้งข้อครหานี้ เพราะคิดว่าคนเพียง 1 คน จะไปมีอิทธิพลเหนือคนอีก 8 คนได้อย่างไร มั่นใจว่าการทำงานของกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ จะเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และถือเป็นเรื่องดีที่สื่อมวลชนสนใจเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะจะช่วยให้การทำงานของกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น” ว่าที่ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าว

Viewing all 235 articles
Browse latest View live