Quantcast
Channel: ป.ป.ช. – ThaiPublica
Viewing all 235 articles
Browse latest View live

ศาลฎีกาฯ จำคุก “อติคม ธนบัตร” รองนายก อบจ.ระนอง 2 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

$
0
0
นายอธิคม ธนบัตร รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง ที่มาภาพ : http://ranongpao.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=78

(ล่างซ้าย) นายอติคม ธนบัตร รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จากคดีจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ภายในระยะเวลาที่กำหนด ที่มาภาพ : http://ranongpao.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=78

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการุทจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ อ้างคำพูดของนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่ระบุว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดนายอติคม ธนบัตร รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ระนอง กรณีจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีเข้ารับตำแหน่ง และได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด เพื่อฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น

ศาลฎีกาฯ ได้รับฟ้องคดีดำ อม.63/2558 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2558 และวินิจฉัยกรณีดังกล่าวคดีแดง อม.88/2558 วันที่ 14 ธันวาคม 2558 พิพากษาลงโทษให้

  1. นายอติคม ธนบัตร รองนายก อบจ. ระนอง พ้นจากตำแหน่งรองนายก อบจ. ระนอง ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2558 ซึ่งเป็นวันที่ศาลวินิจฉัย และ
  1. ห้ามมิให้นายอติคม ธนบัตร ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2558 ซึ่งเป็นวันที่ศาลวินิจฉัย
  1. จำคุกนายอติคม ธนบัตร เป็นเวลา 2 เดือน

“โดยศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว นายอติคม ธนบัตร เป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบให้ถูกต้องครบถ้วน อันเป็นการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพื่อป้องการการทุจริต ประกอบกับนายอติคม ธนบัตร ไม่สำนึกในการกระทำความผิดของตน พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรงและไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ” นายสรรเสริญกล่าว


ป.ป.ช. แจงหลักสูตร นยปส. เกิดผลต้านโกงรูปธรรม ปัดสร้างคอนเน็กชั่นช่วยวิ่งเต้นคดี –ทัวร์นอกออกเงินกันเอง

$
0
0
 นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ เรื่อง “ข้อเท็จจริงกรณีมีข่าวพาดพิงถึงหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง(นยปส.)” อ้างคำพูดของนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่ระบุว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชนในบางแขนงเกี่ยวกับการจัดหลักสูตรระดับสูงของหน่วยงานต่างๆ และมีการพาดพิงถึงหลักสูตร นยปส. ของสำนักงาน ป.ป.ช. ว่า “ไปทัศนศึกษาทั้งในหรือต่างประเทศ ข้าราชการจะเบิกได้บางส่วน แต่อยากนอนโรงแรมดีๆ โรงแรม 5 ดาว อยากได้ทัวร์ที่ดี ๆ ส่วนเกินเอกชนจ่ายหมด หรือค่ารับรองของหน่วยงาน ไม่อยากบอกว่ามีการให้พ็อกเกตมันนี่กันหรือไม่…มีนักธุรกิจเข้าไปเรียนกันเต็มไปหมด และเกิดขบวนการวิ่งเต้นฝากคนของพวกตัวเองเข้าไปนั่งอยู่ในหน่วยงานพวกนี้กันมาก เวลาเกิดปัญหา มีคดีขึ้นมา ก็พวกที่เข้าอบรมมีสายสัมพันธ์กันนั่นแหละเป็นตัวช่วยกันเป็นขบวนการ” ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลที่เกิดขึ้นในการดำเนินการหลักสูตรของสำนักงาน ป.ป.ช. แต่อย่างใด ดังนั้น

เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงขอเรียนชี้แจงดังนี้

  1. หลักสูตร นยปส. เป็นหลักสูตรที่เกิดจากเจตนารมณ์ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ต้องการแก้ไขปัญหาการทุจริตในเชิงบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เกิดเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานได้รับความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดจากการทุจริต สร้างผู้นำต้นแบบที่ดี สนับสนุนให้เกิดการปฏิบัติงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดเป็นพลังร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในทุกภาคส่วนอย่างสัมฤทธิ์ผล
  1. การบริหารหลักสูตรและการคัดเลือกบุคคลเข้ารับการอบรมในแต่ละปี จะดำเนินการโดยคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง 2 คณะ ซึ่งประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยสำนักงาน ป.ป.ช.จะมีหนังสือเชิญให้หน่วยงานพิจารณาส่งบุคลากรที่ปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของหน่วยงานเข้ารับการคัดเลือก เพื่อเปิดให้หน่วยงานต่างๆ ได้มีโอกาสเข้ามาอบรม สร้างความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ และตระหนักผลกระทบที่เกิดจากการทุจริต การพิจารณาจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ของหลักสูตร โดยพิจารณาจากผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามเงื่อนไข โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่เป็นตัวอย่างที่ดี หรือหน่วยงานที่มีความเสี่ยงหรือโอกาสที่จะเกิดการทุจริตได้ง่าย นักการเมืองที่เข้ารับการอบรมจะเชิญไปที่หน่วยงานสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา โดยไม่ระบุสังกัดพรรคการเมืองใด
  1. การอบรมของหลักสูตรจะมีทั้งการอบรมภาควิชาการและการเสริมสร้างประสบการณ์ให้แก่นักบริหาร มีเงื่อนไขการสำเร็จการอบรม จะต้องมีระยะเวลาการอบรมไม่น้อยกว่า 70% ของระยะเวลาการอบรมทั้งหมด การอบรมและศึกษาดูงานในต่างประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของการอบรมในหลักสูตรโดยสำนักงาน ป.ป.ช. จะประสานเพื่อกำหนดหัวข้อวิชาการอบรมและการศึกษาดูงานในสถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบอำนาจรัฐ หรือสถาบันที่มีการติดตามเรื่องทรัพย์สินคืน หรือสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริตระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญา UNCAC ค.ศ.2003 ที่ผ่านมา ได้มีการประสานงานเพื่อเข้าศึกษาอบรมที่สถาบัน International Anti-Corruption Academy (IACA) กรุงเวียนนา สถาบัน Basel Institute on Governance สมาพันธรัฐสวิส องค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International-TI) Ombudsman สำนักตรวจเงินแผ่นดิน หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องในด้านการตรวจสอบอำนาจรัฐ หรือด้านธรรมาภิบาล ฯลฯ โดยมอบประกาศนียบัตรรับรองการฝึกอบรม ทั้งนี้ ขึ้นกับความพร้อมของหน่วยงานในต่างประเทศด้วย เพื่อพัฒนาความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านการทุจริตและเครือข่ายระหว่างประเทศ บูรณาการทำงานของหน่วยงานในการต่อต้านการทุจริต และพัฒนาเครือข่ายในประเทศ โดยหน่วยงานเอกชน และหน่วยงานภายนอกจะต้องใช้งบประมาณของต้นสังกัดหรืองบประมาณส่วนตัวในการเดินทางเอง ไม่มีการใช้งบประมาณของภาคเอกชนมาเพิ่มเติมในการไปศึกษาดูงานต่างประเทศ
  1. ผลจากการอบรมที่ผ่านมาทำให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานหลายภาคส่วนชุมชน ทำให้เกิดผลงานที่เป็นรูปธรรมที่หลากหลาย เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เช่น การจัดตั้งชมรม นยปส. มูลนิธิต่อต้านการทุจริต หมู่บ้านช่อสะอาด ที่บ้านท่าคอยนาง ต.สวาย อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ โครงการรักบ้านเกิดสระแก้ว การอบรมอาสาสมัครของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โครงการจัดทำข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ของหน่วยงานในสังกัดและความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริต เผยแพร่ไว้ในศูนย์ข้อมูลข่าวสารของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมในการสอดส่องเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผู้ที่มีส่วนในการทุจริตและขาดคุณธรรมจริยธรรม เกรงว่าอาจมีผู้เข้าร่วมในการตรวจสอบและแจ้งข้อมูลเบาะแสเรื่องการทุจริตมากขึ้น เพราะอาจมีการนำข้อมูลต่างๆ แจ้งให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการตามกระบวนการ
  1. หลักสูตรนี้ ต่อมารัฐบาลได้ให้ความสนใจและได้จัดสรรงบประมาณให้สำนักงาน ป.ป.ช.ดำเนินการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดให้เป็นหลักสูตรภาคบังคับให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานต้องผ่านการอบรมในหลักสูตรนี้
  1. การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โครงการของสำนักงาน ป.ป.ช. หากทุจริตจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย และมีโทษมากกว่าข้าราชการปกติทั่วไป 2 เท่า ดังนั้น การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้เข้ารับการอบรมหรือพวกพ้อง หรือใครก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. และบุคลากรของสำนักงาน ป.ป.ช. จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้

“จึงขอยืนยันว่าหลักสูตร นยปส. ของสำนักงาน ป.ป.ช. ไม่มีพฤติกรรมหรือการกระทำตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด” นายสรรเสริญระบุ

มติป.ป.ช. ให้ข้อกล่าวหาตกไป ทั้ง “สุเทพ เทือกสุบรรณ”กรณีสั่งซื้อเรือเหาะ และ ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ”ทุจริตจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีอาญา

$
0
0

วันที่ 24 ธันวาคม 2558 นายสรรเสริญ พลจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ได้แถลงมติคณะกรรมการป.ป.ช.ว่า

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มาภาพ : เฟซบุ๊ก Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มาภาพ : เฟซบุ๊ก Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)

1. คำร้องขอให้ถอดถอน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้กองทัพบกสั่งซื้อเรือเหาะในราคาสูงกว่าความเป็นจริง โดยเรื่องนี้จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่ากระบวนการจัดหายุทโธปกรณ์ดังกล่าว ได้มีการดำเนินการขออนุมัติแผนจัดหายุทโธปกรณ์สำหรับภารกิจหาข่าว เฝ้าตรวจพื้นที่และเส้นทางในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งการจัดซื้อนั้นได้ทำการจัดซื้อทั้งตัวเรือเหาะและอุปกรณ์ตรวจการ ได้แก่

1. เรือเหาะ Aeros 4oD จำนวน 1 ลำ
2. กล้องตรวจการณ์เวลากลางวัน / กลางคืน Axsys V14 MS II จำนวน 2 กล้อง
3. รถหุ้มเกราะกันกระสุน Grizzy เพื่อใช้เป็นรถ Command Control
4. ชิ้นส่วนซ่อมควบคู่ การบำรุงรักษา การฝึกอบรม การรับประกันชิ้นส่วนที่สำคัญ ระบบการติดต่อสื่อสารตามมาตรฐานของผู้ผลิต และระบบรับ – ส่ง และถ่ายทอดสัญญาณ (Uplink/Downlink)

ดังนั้น จึงทำให้มีมูลค่าสูงกว่าการจัดซื้อเพียงเรือเหาะอย่างเดียว และเรือเหาะที่ทำการจัดซื้อนั้นเป็นกรณีจำเป็นและเร่งด่วน จึงได้ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ และเป็นเรือเหาะที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบออกใบอนุญาตรับรองและกำกับดูแลความปลอดภัยของอากาศยานทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลังจากทำการจัดซื้อแล้วได้มีการใช้งานมาระยะหนึ่ง แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศและอากาศมีฝนตกชุก จึงได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนอุปกรณ์เปลือกนอกของเรือเหาะ เพื่อเพิ่มคุณภาพจากมาตรฐานเดิมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ จากการไต่สวนไม่ปรากฏพฤติการณ์หรือพยานหลักฐานว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับการบริหารราชการ ในสังกัดกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยการปล่อยให้กองทัพบกสั่งซื้อเรือเหาะ ในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงตามข้อกล่าวหาแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/Y.Shinawatra

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/Y.Shinawatra

2. กรณีกล่าวหา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี กรณีปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติต่อหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตกรณีจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีอาญา ที่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง ใช้เป็นหลักประกันการปล่อยตัวชั่วคราว

เรื่องนี้คณะอนุกรรมการไต่สวนได้ดำเนินการไต่สวนแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการจ่ายเงินนั้นได้มีการนำเงินกองทุนยุติธรรมมาใช้ดำเนินการโดยเป็นไปตามข้อเสนอแนะคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ แต่ปรากฏว่าเงินงบประมาณกองทุนยุติธรรมมีจำกัดไม่เพียงพอต่อการดำเนินการ จึงได้ของบประมาณเพิ่มเติมจากงบกลางรายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นมาใช้ในการดำเนินการ ซึ่งทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา 19 และมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติวิธีงบประมาณ พ.ศ.2502 ประกอบกับการนำเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ได้มีการปฏิบัติเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร 0704/195 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2552 แล้ว

และในการจ่ายงบประมาณเพื่อเป็นหลักประกันในครั้งนี้ ได้มีการนำไปช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีอาญาที่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งในทางการเมือง มิได้เฉพาะเจาะจงกลุ่มการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะมีทั้ง นปช. และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างก็ได้รับเงินสนับสนุนเพื่อใช้ในการปล่อยชั่วคราวดังกล่าวนี้ด้วย และการประกันตัวผู้ต้องขังต้องผ่านการพิจารณาจากศาล ที่อนุญาตให้ประกันตัวและกำหนดวงเงินไว้ จากนั้น ต้องผ่านคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมตามหลักเกณฑ์ ของระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยกองทุนยุติธรรม พ.ศ.2553 และระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการสนับสนุนหลักทรัพย์เป็นหลักประกันในการปล่อยชั่วคราว พ.ศ.2554 ก่อน จึงจะสามารถนำเงินงบประมาณมาใช้เป็นหลักประกันตัวได้

หลังจากได้รับการประกันตัวแล้ว คณะกรรมการบริหารกองทุนยุติธรรมยังได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมจากที่มีในระเบียบฯ เมื่อได้รับการปล่อยชั่วคราวแล้วต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลในการรายงานตัวตามกำหนดนัด หากสัญญาประกันของศาลสิ้นสุดลง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะได้ดำเนินการขอรับหลักประกันคืนจากศาลต่อไป หากผู้ต้องขังหลบหนีจนเป็นเหตุให้ศาล มีคำสั่งริบประกันผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดทางแพ่ง ชดใช้เงินตามหลักประกันที่กองทุนยุติธรรมให้การสนับสนุน แก่ผู้ต้องขังกรณีดังกล่าวนี้จึงไม่ปรากฏว่าก่อให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด

คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่ให้แจ้งกระทรวงยุติธรรมติดตามเรื่องเงินที่ผู้ต้องหาหลบหนีให้กลับคืนมาเป็นของทางราชการด้วย

ป.ป.ช. ชี้มูลทิ้งทวน 26 คดี ฟัน “ผช.ผู้พิพากษา-อัยการ”รับเงินจำเลยช่วยเหลือคดี ให้ลงโทษทางวินัย ตร. ตบทรัพย์ผู้ต้องหา

$
0
0

580821ปปช

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ เรื่องความคืบหน้าคดีทุจริตและความผิดในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ รวม 26 คดี

โดยสามารถแบ่งประเภทผู้ถูกกล่าวหาตามกลุ่มอาชีพต่างๆ ออกเป็น ผู้พิพากษา 1 คน อัยการ 2 คน ตำรวจ 2 คน ผู้อำนวยการโรงพยาบาล 2 คน ผู้บริหารท้องถิ่น 15 คน และอื่นๆ อีก 4 คน

โดยมีคดีที่น่าสนใจ เช่น

  • ชี้มูล นายเจริญโรจน์ ลั่นทมทอง (รัตนวิจัย) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ในความผิดทางอาญา กรณีเรียกรับเงินจากจำเลยในคดีอาญาและเขียนความเห็นเพื่อช่วยเหลือจำเลยมิให้ต้องรับโทษ
  • ชี้มูล นายกิตติพงษ์ ศรีสวาสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการประจำกรม สำนักงานอัยการ จ.ร้อยเอ็ด ในความผิดวินัยไม่ร้ายแรง กรณีละเว้นไม่บรรยายฟ้องขอให้ศาลเพิ่มโทษผู้ต้องหาฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองฯ ซึ่งเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โดยพ้นโทษมายังไม่พ้นกำหนด 5 ปี เป็นเหตุให้ศาลรอการลงโทษ
  • ชี้มูล นายฐิติวัชร์ ศิริพร อัยการจังหวัดประจำกรม สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีแพ่ง กรุงเทพใต้ 4 (พระโขนง) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดประจำกรม สำนักงานอัยการ จ.อุบลราชธานี ในความผิดวินัยร้ายแรงและความผิดอาญา กรณีเรียกรับเงินจากผู้ต้องหาและภรรยาผู้ต้องหาเพื่อช่วยเหลือในการสั่งคดี รวม 2 คดี
  • ชี้มูล ร.ต.ท. โสรัจ กลิ่นภิรมย์ ผู้บังคับหมวดกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน ที่ 42 อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช กับพวก ในความผิดวินัยไม่ร้ายแรง กรณีจับกุมและยึดเงินสด นาฬิการาโด้เรือนทอง แหวนทอง กางเกงยีนส์ลีวาย และโทรศัพท์มือถือ ทั้งที่ผู้ถูกจับกุมมิได้กระทำผิด
  • ชี้มูล นพ.ชาย ธีระสุต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ ในความผิดวินัยไม่ร้ายแรง กรณีถูกกล่าวหาว่านำเงินของโรงพยาบาลศรีสะเกษไปซื้อรถยนต์ แล้วโอนเป็นของตนเอง
  • ชี้มูล พล.ต. สวง ไพบูลย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ โรงพยาบาลอานันทมหิดล จ.ลพบุรี ในความผิดวินัยร้ายแรงและความผิดทางอาญา กรณีจัดทำเอกสารหลักฐานการสอบราคาจ้างก่อสร้างทางเดินภายในโรงพยาบาลอานันทมหิดลเป็นเท็จ และเบิกจ่ายเงินไปเป็นประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น
  • ชี้มูล นางสาวเมธาวี ตันวัฒนะพงษ์ กรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรรมการบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ในความผิดทางอาญา กรณีจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่ง และพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี
  • ชี้มูล นายเสนอ เกิดทรัพย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายช่างรังวัด 5 สำนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขานครชัยศรี จ.นครปฐม ในความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง กรณีขูด ลบ แก้ไขข้อความ ในเอกสารใบรับรองเขตติดต่อของเจ้าของที่ดินและเจ้าของที่ดินข้างเคียง (แบบ ท.ด.34) และเอกสารบันทึกถ้อยคำ (แบบ ท.ด.16)

เป็นต้น

(ดูรายละเอียดคดีที่ถูกชี้มูลทั้ง 26 คดี เอกสารฉบับที่ 1, เอกสารฉบับที่ 2)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชี้มูลความผิดใน 26 คดีนี้ น่าจะเป็นผลการดำเนินงานสุดท้ายของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบัน ที่มีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธานกรรมการ ซึ่งดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2549 ก่อนที่จะส่งมอบการดำเนินงานต่อให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่มี พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานกรรมการ ได้ทำงานต่อไป

ป.ป.ช. ยกคำร้อง “อภิสิทธิ์-สุเทพ-อนุพงษ์”คดีสลายการชุมนุม นปช. ปี 2553 ชี้ยิงคนตายเป็น “ความผิดเฉพาะตัว”โยน DSI หาตัวผู้กระทำผิด

$
0
0
(จากซ้ายไปขวา) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : http://img.tnews.co.th/tnews_1409202134_3185.jpg

(จากซ้ายไปขวา) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : http://img.tnews.co.th/tnews_1409202134_3185.jpg

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ อ้างคำพูดของนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่เปิดเผยมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีคำร้องขอให้ถอดถอนและคำกล่าวหา

– นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

– นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

– พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

โดยเรื่องนี้จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุที่มีการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ในระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553

อย่างไรก็ตาม แม้คำสั่งที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตนเองได้จะเป็นไปตามหลักสากลก็ตาม แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้อาวุธปืนตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นตามความจำเป็น และพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นภาระที่หนักและยากอย่างยิ่งในการปฏิบัติ แต่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าวได้ หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ อันเป็น “ความรับผิดเฉพาะตัว” เช่นเดียวกับนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่จะต้องรับผิดในกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า รู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนได้ใช้หรืออยู่ระหว่างใช้กำลังบังคับและอาวุธปืนโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วไม่ดำเนินการยับยั้ง ป้องกัน และรายงานเหตุดังกล่าว ซึ่งคดีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553 ในเหตุการณ์เดียวกันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษด้วย จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว รวมถึงนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 ให้ DSI ดำเนินการต่อไป ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 89/2

สำหรับประเด็นการกล่าวหานายอภิสิทธิ์, นายสุเทพ และ พล.อ. อนุพงษ์ กับพวก กรณีละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ.ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง โดยการปฏิบัติในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง แต่ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยไม่ได้มีการผลักดันต่อผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์โดยตรง แต่เป็นการกดดันต่อกองกำลังติดอาวุธที่ยึดสวนลุมพินีอยู่ ซึ่งการปฏิบัติในการกระชับพื้นที่สวนลุมพินี ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมออกไปจากพื้นที่ก่อน หลังจากประกาศแล้ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไป

“ดังนั้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม กับพวก ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการ ในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน” เอกสารประชาสัมพันธ์ของ ป.ป.ช. ระบุ

ป.ป.ช. อายัดทรัพย์สินญาติ “ธาริต เพ็งดิษฐ์”ทั้งเงินฝาก-บ้าน รวม 27 ล้านบาท หลังพบถือครองไว้แทนอดีตอธิบดี DSI

$
0
0
ธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่มาภาพ : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1417613319

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มาภาพ : www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1417613319

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ มติที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 มีใจความว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งที่ 631/2557 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2557 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีนายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ และคู่สมรส นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ไว้เป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2558 จำนวน 40,954,720.58 บาท นั้น

ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตรวจพบว่า นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ หลานชายของนางวรรษมล มีพฤติการณ์ถือครองทรัพย์สินแทนนายธาริตและนางวรรษมล ซึ่งถือว่าเป็นพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สิน  คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ถือครองทรัพย์สินแทนนายธาริตและนางวรรษมล ได้แก่ เงินฝากและที่ดิน รวมมูลค่า  27,473,572.05 บาท ดังนี้

  1. บัญชีเงินฝากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) จำนวน 4 บัญชี  รวมเป็นเงิน 643,572.05  บาท
  2. ที่ดินที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จำนวน 9 แปลง มูลค่ารวม 26,830,000 บาท

“ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการมิให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สินรายการอื่นๆ ของนายธาริตที่อยู่ในชื่อของนายปิยฤกษ์ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้แถลงข่าวให้สาธารณชนทราบด้วย” เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ดังกล่าวระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินผู้ถูกกล่าวหาของ ป.ป.ช. เป็นการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 78 ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หรือจนกว่าผู้ที่ถูกอายัดทรัพย์สินนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีร่ำรวยผิดปกติ

(อ่านประวัติ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ชายผู้รับใช้ทุกสี กับบทสรุปชีวิตที่เลือกเองไม่ได้)

เปลี่ยนชื่อ “มูลนิธิราชภักดิ์”ทรงรับไว้ในพระราชูปถัมภ์ “อุดมเดช”ยังนั่งเป็นประธาน

$
0
0
อุทยานราชภักดิ์

อุทยานราชภักดิ์

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2558 เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2558 นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร ได้ลงนามใน “ประกาศนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร เรื่อง จดทะเบียนแก้ไขเพิ่มมูลนิธิราชภักดิ์” อาศัยอำนาจตามมาตรา 126 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เปลี่ยนชื่อ “มูลนิธิราชภักดิ์” (จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558) เป็น “มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร”

นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนแปลงจำนวนกรรมการมูลนิธิ ที่มี 6 คน เพิ่มเป็น 11 คน แต่ยังมี พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) ในฐานะอดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานกรรมการมูลนิธิ เหมือนเดิม

รายชื่อกรรมการ “มูลนิธิราชภักดิ์”

  1. พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร ประธานกรรมการ
  2. พล.อ. สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รองประธานกรรมการ
  3. พล.อ. พิสิทธิ์ สิทธิสาร กรรมการ
  4. พล.ท. สุทัศน์ จารุมณี กรรมการ
  5. พ.อ. ชูชาติ สุกใส กรรมการและเหรัญญิก
  6. พ.อ. สุชาติ พรมใหม่ กรรมการและเลขานุการ

รายชื่อกรรมการ “มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร”

  1. พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร ประธานกรรมการ
  2. พล.อ. ศุภวุฒิ อุตมะ รองประธานกรรมการ
  3. พล.อ. พิสิทธิ์ สิทธิสาร กรรมการ
  4. พล.ท. สุทัศน์ จารุมณี กรรมการ
  5. นายไพศาล พืชมงคล กรรมการ
  6. น.ส.มรกต ณ เชียงใหม่ กรรมการ
  7. น.ส.ณสรัญ มหิทธิชาติกุล กรรมการ
  8. นายชยุต ภวภานันท์กุล กรรมการ
  9. พล.อ. ประสูตร รัศมีแพทย์ กรรมการและเหรัญญิก
  10. พล.อ. พอพล มณีรินทร์ กรรมการและเลขานุการ
  11. พ.อ. สมชาย กุลภควา กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา วันเดียวกันนี้ ยังไม่พบว่า มีการเผยแพร่ประกาศนายทะเบียนกรุงเทพมหานครดังกล่าวแต่อย่างใด

มีเงินเหลือ 106 ล้าน – ผบ.ทบ. เคยระบุไม่ให้มูลนิธิดูแลอุทยาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “มูลนิธิราชภักดิ์” เป็นนิติบุคคลซึ่ง พล.อ. อุดมเดช กับพวก จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยปัจจุบันมูลนิธิมีเงินจำนวน 106 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม พล.อ. ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. คนปัจจุบัน เคยออกมาระบุว่า กองทัพบก (ทบ.) จะบริหารจัดการอุทยานราชภักดิ์เอง ไม่ให้มูลนิธิดังกล่าวเข้ามายุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด เนื่องจากจัดสร้างขึ้นในที่ดินของกองทัพบก

ข้อมูลจากการเปิดเผยของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่มี พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัด กห. เป็นประธาน ระบุว่า อุทยานราชภักดิ์มีเงินที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนับพันล้านบาท แบ่งเป็นรายรับทั้งหมด 1,211 ล้านบาท ประกอบด้วยงบกลาง 63 ล้าน เงินบริจาคที่อยู่ในบัญชีกองทุนสวัสดิการกองทัพบก 802 ล้าน เงินบริจาคในมูลนิธิราชภักดิ์ 106 ล้าน และงบประมาณของ ทบ. 150 ล้าน และรายจ่ายทั้งหมด 965 ล้าน ประกอบด้วยงบกลาง 63 ล้าน เงินบริจาคที่อยู่ในบัญชีกองทุนสวัสดิการกองทัพบก 752 ล้าน และงบประมาณของกองทัพบก 150 ล้าน คงเหลือ ทั้งหมด 156 ล้าน แบ่งเป็นเงินบริจาคที่อยู่ในกองทุนสวัสดิการกองทัพบก 50 ล้านบาท และเงินบริจาคในมูลนิธิราชภักดิ์ 106 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามสัปดาห์ที่ผ่านมาพล.อ. ชัยชาญ ระบุว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีอำนาจจำกัด ทำให้ไม่สามารถสรุปประเด็นทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการหักหัวคิวโรงหล่อจากการหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ได้ ทำให้ข้อสงสัยเรื่องนี้ยังคงมีอยู่ต่อไป

วันเดียวกัน พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวภายหลังเข้าทำงานที่สำนักงาน ป.ป.ช. เป็นวันแรกหลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา ว่า ป.ป.ช. มีอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ แต่ขั้นตอนการตรวจสอบคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย

ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐตามข้อร้องเรียนทั้งในส่วนกลาง-ภูมิภาค


ป.ป.ช. ส่งหนังสือถาม “วีระ สมความคิด” ตั้งคำถามกรณีร้องสอบ ปม “ราชภักดิ์” 4 ข้อ –เจ้าตัวยันให้ข้อมูลไปครบแล้ว

$
0
0
(แฟ้มภาพ) นายวีระ สมความคิด เลขาธิการ คปท. เดินทางไปยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ขอให้เข้ามาตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา

(แฟ้มภาพ) นายวีระ สมความคิด เลขาธิการ คปท. เมื่อครั้งไปยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ขอให้เข้ามาตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558

ความคืบหน้าการตรวจสอบความไม่โปร่งใสโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ บนพื้นที่โรงเรียนนายสิบทหารบก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2559 นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น (คปท.) ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Veera Somkwamkid ระบุว่า หลังจากตนไปยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาไต่สวน นายทหารระดับสูงจำนวน 2 นาย ได้แก่ 1.พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม และ 2.พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ. (ระหว่างเดือนตุลาคม 2557 – เดือนกันยายน 2558) และบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากกรณีโครงการก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา ทาง ป.ป.ช. กลับส่งหนังสือมาเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2559 ให้ยืนยันว่าเป็นผู้กล่าวหาหรือไม่ ทั้งที่ การยื่นหนังสือในวันดังกล่าว มีสื่อมวลชนมาทำข่าวเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายวีระได้โพสต์หนังสือของ ป.ป.ช. ไว้บนเฟซบุ๊กของตนเอง โดยในเอกสารดังกล่าวระบุ ขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมจากยื่นคำร้องจากนายวีระ จำนวน 4 ข้อ ดังนี้

  1. ท่านประสงค์จะกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลใด ตำแหน่ง ระดับ และสังกัดใด มีหน้าที่อย่างไร และมีบุคคลใดร่วมกระทำผิดหรือไม่
  1. พฤติการณ์กระทำความผิดของผู้ถูกกล่าวหา ที่ท่านเห็นว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ มีพฤติการณ์อย่างไร เหตุเกิดที่ใด เมื่อใด และมีพยานหลักฐานยืนยันหรือสนับสนุนพฤติการณ์กระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่ ประการใด
  1. ท่านได้ร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังหน่วยงานอื่นหรือไม่ อย่างไร (หากมี) ผลการดำเนินการเป็นประการใด
  1. ท่านเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้หรือไม่

ในวันที่ 10 มกราคม 2559 นายวีระยังโพสต์ถึงกรณีดังกล่าวอีกครั้ง โดยระบุว่า ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. มานับสิบปี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ ป.ป.ช. ให้ยืนยันว่าเป็นผู้ยื่นเรื่องจริงหรือไม่ ทั้งที่ได้ลงลายมือชื่อในสมุดรับเรื่องร้องเรียนแล้ว นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ป.ป.ช. ก็ไม่เคยถามว่าตนมีสาเหตุโกรธเคืองอะไรกับผู้ถูกกล่าวหา เพราะเรื่องทุจริตรัฐเป็นผู้เสียหาย ตนเป็นผู้ทราบเรื่องจึงมายื่นกล่าวหา ป.ป.ช. มีหน้าที่ไต่สวนว่าความจริงเป็นอย่างไร ที่สำคัญในคำร้องก็ยังบรรยายพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่ามีการุทจิรตพร้อมทั้งมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการุทจริต มีการนำข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาประเคนให้แล้ว ป.ป.ช. ควรตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่ตนนำมายื่นก่อนว่าถูกต้องตามที่ตนกล่าวหาหรือไม่ และที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการยื่นคำร้องให้ไต่สวนกรณี พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ กับนายทักษิณ ชินวัตร ยื่นบัญชีทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ป.ป.ช. ก็ไม่เคยทำหนังสือเรียกตนให้ไปพบเหมือนกรณีนี้

“ถ้า ป.ป.ช.กลัวคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่กล้าตรวจสอบก็บอกออกมาตรงๆ เสียก็สิ้นเรื่อง ผมจะได้ดำเนินการเปิดโปงความจริงด้วยตัวเอง ผมพยายามทำตามกติกาสังคมที่กำหนดไว้ เมื่อมีหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการปราบปรามคอร์รัปชัน ผมก็ยื่นเรื่องเข้ามาให้ตรวจสอบ ป.ป.ช. ควรมีมาตราฐานในการทำงานให้ชัดเจนเหมือนกันทุกเรื่องทุกกรณี” นายวีระระบุไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว

581119ราชภักดิ์-620x467

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดที่มี พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล เป็นประธาน เปิดเผยว่า โครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ใช้งบในการดำเนินการรวมกันสูงถึง 1,121 ล้านบาท โดย 802 ล้านบาท เป็นเงินที่ได้จากการบริจาคผ่านบัญชีกองทุนสวัสดิการกองทัพบก ในขณะที่ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร ยังเป็น ผบ.ทบ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2558 นายวีระได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวน พล.อ. ศิริชัย ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ. อุดมเดช ขณะดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. และผู้ที่เกี่ยวข้อง กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จากกรณีจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

  • กรณี พล.อ. ศิริชัย เนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจลงนามในการจัดซื้อจัดจ้างด้วย “วิธีพิเศษ” ตามกฎหมาย สำหรับโครงการที่มีวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณชนในขณะนี้ โครงการจัดซื้อจัดจ้างในอุทยานราชภักดิ์หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างรั้ว ป้ายทางเข้า งานปูหิน รวมถึงงานก่อสร้างพระบรมรูป มีวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาททั้งสิ้น
  • กรณี พล.อ. อุดมเดช เนื่องจากไม่ดำเนินการตรวจสอบและลงโทษนายทหาร (ยศ พล.ต. และ พ.อ.) ที่มีส่วนพัวพันกับการเรียกรับเงินของเซียนพระ อ. จากโรงหล่อ 4 โรง (จากทั้งหมด 5 โรง) ในการหล่อพระบรมรูป

นอกจากนี้ นายวีระยังขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบยอดเงินบริจาคเพื่อใช้ในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่แท้จริง รวมถึงใบเสร็จที่ออกให้กับผู้บริจาคว่ามียอดเงินตรงกันหรือไม่

ก่อนหน้านี้ เคยมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ถึง 2 ชุด ชุดแรกของกองทัพบก มี พล.อ. วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก เป็นประธาน ซึ่งสรุปว่าไม่มีการทุจริต แต่ไม่ให้รายละเอียดใดๆ ต่อสังคม และชุดที่ 2 ของกระทรวงกลาโหม มี พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน แม้จะให้รายละเอียดเรื่องรายรับ-รายจ่าย แต่กลับไม่สรุปกรณีทุจริต โดยเฉพาะประเด็นการหักหัวคิวโรงหล่อ อ้างว่ามีอำนาจจำกัด และพยานบางคนไม่มาให้ข้อมูล

ขณะที่ ป.ป.ช. ชุดที่มีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน เคยหยิบกรณีนี้ไปหารือในที่ประชุม ก่อนจะมีมติเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2558 ว่ายังไม่รับไว้ไต่สวนเป็นคดี เพราะยังไม่มี “เหตุอันควรสงสัย” ว่ามีการทุจริต ทำให้นายวีระต้องไปยื่นคำร้องขอให้ ป.ป.ช. เข้ามาตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์

“หัสวุฒิ” น้อมรับพระบรมราชโองการ ปลดพ้น “ปธ.ศาลปกครองสูงสุด” เชื่อแจงคดี “ยกฉัตร-รถหลวง” ต่อ ก.ศป. ได้

$
0
0
นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด

นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2559 นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด ได้เดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งแรก หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากถูกลงโทษให้ออกจากราชการ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 ที่ผ่านมา

โดยนายหัสวุฒิได้อ่านแถลงการณ์ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าน้อมรับด้วยเกล้า ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ชาวไทยหลายสาขาอาชีพให้กับตน ยืนยันว่าตนได้ปฏิบัติหน้าที่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดและประธานศาลปกครองสูงสุดอย่างเต็มกำลังความสามารถด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด และไม่เคยหวั่นเกรงต่อภัยหรือสถานการณ์ที่พยายามกดดัน มีการทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ตนถูกคุกคามหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยย่อท้อหรือหนีเอาตัวรอดจากอันตราย เพราะตนยึดมั่นในอุดมการณ์ความถูกต้องและความยุติธรรม

“ผมขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของผม และขอฝากให้คนไทยจับตาดูความเป็นไปของศาลปกครองในคดีสำคัญๆ ของประเทศด้วย” แถลงการณ์ของนายหัสวุฒิระบุ

สำหรับนายหัสวุฒิ ถูกมติคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) ลงโทษให้ออกจากราชการ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2558 จากกรณีจดหมายน้อยแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ โดยระบุว่า นายหัสวุฒิรู้เห็นเป็นใจและรับทราบว่านายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง (ในขณะนั้น) ส่งจดหมายน้อยถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้พิจารณาเลื่อนตำแหน่งนายตำรวจยศ “พันตำรวจโท” คนหนึ่งให้สูงขึ้น

นายหัสวุฒิยังกล่าวว่า ปัจจุบัน มีเรื่องที่ตนถูกกล่าวหา อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ก.ศป. อีก 2 เรื่อง ได้แก่ 1. กรณีเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเป็นประธานพิธีอัญเชิญยอดฉัตรทองคำลูกแก้วมงคลนิมิต ประดิษฐานบนพระธาตุเจ้าจอมล้านนา วัดพิพัฒน์มงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ในช่วงเวลาเดียวกับการไปปฏิบัติราชการที่ จ.พิษณุโลก ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร และ 2. กรณีนำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้งานทั้งที่มีรถยนต์ประจำตำแหน่งอยู่แล้ว ซึ่งเชื่อว่าตนไม่ได้ทำผิดอะไร สามารถชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้ทั้ง 2 เรื่อง

“โดยเฉพาะกรณีไปอัญเชิญยอดฉัตรที่วัดพิพิฒน์มงคล จ.สุโขทัย เนื่องจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เคยระบุว่า ตนได้รับเชิญไปในฐานะประธานศาลปกครองสูงสุด ไม่ได้รับเชิญไปในฐานะส่วนตัว ดังนั้นการเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวจึงสามารถทำได้ ขณะที่การไปปฏิบัติราชการที่ จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นการไปตรวจราชการ ยอมรับว่ามีปัญหาบางอย่าง แต่ในวันนั้นก็ไปพบกับอธิบดีศาลปกครอง จ.พิษณุโลก รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่มีอะไรที่ปิดบัง สตง. เคยยืนยันว่าไม่มีอะไรผิด และไม่จำเป็นต้องเรียกเงินคืน”

ส่วนกรณีนำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้งาน นายหัสวุฒิ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าไม่ได้ทำผิดอะไร เพราะรถยนต์ส่วนกลางที่มีอยู่ ตั้งแต่สมัยประธานศาลปกครองสูงสุดคนก่อนๆ ก็เคยนำไปใช้ในกิจการของส่วนกลางมาก่อน ซึ่งตนก็นำไปใช้ในกิจการของศาลปกครองเช่นเดียวกัน ไม่เคยนำไปใช้ส่วนตัว แม้นอกเวลาราชการก็ไปในภารกิจของประธานศาลปกครอง นอกจากนี้ บางงานจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ไปด้วยหลายคน แค่รถยนต์ประจำตำแหน่งคันเดียวไม่สามารถรับคนไปได้ทั้งหมด อีกทั้งยังมีเรื่องความปลอดภัยสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ที่ถูกข่มขู่และขู่ฆ่าอยู่ตลอด จึงจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนกลางในบางกรณี

“แต่ยืนยันว่าไม่เคยนำรถหลวงไปใช้ส่วนตัว ใช้ในงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งหน้าที่ทั้งสิ้น” นายหัสวุฒิกล่าว

วันเดียวกัน มีประชาชนจำนวนหนึ่งนำดอกไม้มาให้กำลังใจนายหัสวุฒิ พร้อมเรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เร่งตรวจสอบการทำงานของ ก.ศป. ตามที่นายหัสวุฒิได้ไปยื่นคำร้องไว้เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 กรณีลงมติให้นายหัสวุฒิออกจากราชการ เพราะเป็นการลงมติโดยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ เพราะแม้นายหัสวุฒิจะพ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองไปแล้ว แต่หาก ป.ป.ช. ชี้มาว่า ก.ศป. กระทำผิด ก็จะมีวิธีในการเยียวยานายหัสวุฒิ ที่พวกตนเชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์มาตลอดเวลาได้

ศาลปกครองจำกัดอำนาจ ป.ป.ช. ไต่สวนคดีผิดวินัยได้แค่กรณีเดียว “ทุจริต”–ไม่ปฏิบัติตาม “ระเบียบ-มติ ครม.-นโยบาย”ไต่สวนไม่ได้

$
0
0

580817ปปช

เมื่อปี 2558 มีคำพิพากษาในคดีหนึ่งของศาลปกครองสูงสุดที่น่าสนใจ เนื่องจากมีผลเป็นการจำกัดอำนาจขององค์กรอิสระที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันและประพฤติมิชอบ อย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปโดยปริยาย

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว คือคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.505/2553 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1037/2558 ที่ นายสมปอง คงศิริ อดีตนายช่างรังวัด 7 ฝ่ายรังวัด สำนักงานที่ดิน จ.นนทบุรี (ผู้ฟ้อง) ยื่นฟ้อง อธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกฟ้อง) กรณีมีคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 1567/2547 ไล่นายสมปองออกจากราชการ เมื่อปี 2547 หลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดนายสมปอง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายช่างรังวัด 5 ฝ่ายรังวัด สำนักงานที่ดิน จ.ปทุมธานี สาขาธัญบุรี กรณีได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยกำกับการเดินสำรวจฝ่ายรังวัด กองกำกับการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน จ.เชียงราย แต่ปรากฏว่า นายสมปองได้ลงชื่อเสนอให้ออกโฉนดที่ดิน รวม 24 แปลง ทั้งที่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมถึงตามธรรมชาติ ซึ่งไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะขอออกโฉนดที่ดินได้ ทำเพียงแค่สอบถามไปยัง อ.แม่จัน และหน่วยศิลปากรที่ 4 เชียงแสน แล้วลงชื่อตรวจเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชา โดยไม่มีการลงตรวจสอบพื้นที่จริง เป็นเหตุให้มีการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้ว่า นายสมปองมีความผิดทางวินัยร้ายแรง จากฐานความผิด 4 ฐาน ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ประกอบด้วย

  1. ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ (มาตรา 82 วรรคสาม)
  2. ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง (มาตรา 85 วรรคสอง)
  3. รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง (มาตรา 90 วรรคสอง)
  4. เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง (มาตรา 98 วรรคสอง)

อย่างไรก็ตาม นายสมปองไม่เห็นด้วยกับคำสั่งกรมที่ดินที่ให้ “ไล่ออกจากราชการ” ดังกล่าว เพราะเห็นว่าเป็นการฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน และไม่ตรงกับระเบียบของทางราชการและกฎหมาย เป็นเหตุให้ปรับบทความผิดและกำหนดโทษไม่ถูกต้องเหมาะสมและไม่เป็นธรรม จึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้ยกเลิกคำสั่งกรมที่ดินดังกล่าว

หนึ่งในประเด็นที่นายสมปองใช้ในการยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง คือเรื่อง “อำนาจในการไต่สวนและชี้มูลความผิดทางวินัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.” ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติว่า หากข้าราชการรายใดถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางวินัย ก็ให้ยึดสำนวนของ ป.ป.ช. ในการลงโทษ โดยไม่จำเป็นต้องตั้ง “คณะกรรมการสอบสวนวินัย” ตามกฎหมายหรือระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหานั้นๆ อีก

ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนและชี้มูลคดีวินัยเฉพาะฐานความผิด “ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ” เท่านั้น ส่วนฐานความผิดอื่นๆ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจ นอกจากนี้ ยังไม่พบว่านายสมปองมีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จึงมีพิพากษาให้ “เพิกถอน” คำสั่งกรมที่ดินดังกล่าว เพราะออกมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ต่อมา อธิบดีกรมที่ดินยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

หนึ่งในประเด็นที่อธิบดีกรมที่ดินใช้โต้แย้งก็คือ คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 1 (เรื่องเสร็จที่ 158/2551) เคยวินิจฉัยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนและชี้มูลความผิดทางวินัย ใน 2 ฐานความผิด คือ 1. ทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และ 2. กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ดังนั้น ความผิดฐานอื่นๆ ของนายสมปอง (อาทิ จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล ฯลฯ) จึงรวมอยู่ในความผิดฐาน “กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ” ด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีอำนาจในการไต่สวนและชี้มูลความผิดทางวินัยแก่นายสมปอง ครบทั้ง 4 ฐานความผิด คำสั่งกรมที่ดินดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ศาลปกครอง_ปปช1

ส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว (ปรากฏอยู่ในหน้าที่ 29) ซึ่งระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนและชี้มูลคดีทางวินัยเฉพาะความผิดฐาน “ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ” เท่านั้น

ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย รวมถึงข้อโต้แย้งของคู่ความทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนจะตั้งประเด็นที่ต้องวินิจฉัยออกเป็น 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ

  • คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนและชี้มูลความผิดทางวินัยในฐานความผิดอื่นๆ นอกเหนือจาก “ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ” หรือไม่
  • คำสั่งของกรมที่ดินที่ให้ไล่นายสมปองออกจากราชการ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
  • นายสมปองได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 หรือไม่

ซึ่งประเด็นสำคัญก็คือ ประเด็นที่ 1 เรื่อง “อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.” เพราะจะส่งผลต่อการวินิจฉัยประเด็นที่ 2-3 โดยศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่บังคับใช้อยู่ในขณะเกิดเหตุ มาตรา 301 วรรคหนึ่ง, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19, มาตรา 88, มาตรา 91 และมาตรา 92 วรรคหนึ่ง ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) มาตรา 200-205 ข้อกล่าวหาที่อยู่ในอำนาจไต่สวนพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หมายถึงเฉพาะข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมเท่านั้น

“แต่ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เป็นมูลความผิดทางอาญา ส่วนความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ เป็นมูลความผิดทางวินัย นอกจาก 3 กรณีดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริง ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยผู้ฟ้องคดี (นายสมปอง) เฉพาะความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ เท่านั้น”

เมื่อศาลปกครองสูงสุดชี้ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนและชี้มูลความผิดทางวินัยเฉพาะฐานความผิด “ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ” มติที่นายสมปองถูกชี้มูลในฐานความผิดอื่นจริงไม่ผูกพันกับกรมที่ดิน จะนำมาลงโทษนายสมปองโดยไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยไม่ได้ จึงเหลือเพียงฐานความผิดเดียว คือทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ซึ่งจากการพิจารณาพยานหลักฐาน ไม่พบว่านายสมปองมีความผิดตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด เนื่องจากระเบียบของกรมที่ดินที่เกี่ยวข้อง รวม 2 ฉบับ ไม่ได้กำหนดให้ผู้ช่วยผู้กำกับการเดินสำรวจ ฝ่ายรังวัด ต้องออกไปปฏิบัติงานภาคสนามเพื่อตรวจสอบพื้นที่ที่จะมีการออกโฉนดที่ดินเป็นที่สาธารณะประโยชน์อันเป็นที่ดินต้องห้ามในการออกโฉนดที่ดินหรือไม่แต่อย่างใด อุทธรณ์ของอธิบดีกรมที่ดินจึงฟังไม่ขึ้น

พิพากษาให้ “เพิกถอน” คำสั่งกรมที่ดินดังกล่าว

ป.ป.ช. ออกแถลงโต้ ศ.ปกครองสูงสุด “จำกัดอำนาจ”ไต่สวนความผิดทางวินัย ขอตัดสินคดีปัญหาใหม่-ให้ศาล รธน. ช่วยชี้ขาด

$
0
0

580821ปปช

จากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.505/2553 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1037/2558 ที่นายสมปอง คงศิริ ฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ให้ยกเลิกคำสั่งไล่ออกจากราชการ ซึ่งมีผลเป็นการจำกัดอำนาจในการไต่สวนและชี้มูลความผิดทางวินัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เฉพาะฐานความผิดเดียว คือ “ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ” ส่วนฐานความผิดอื่นๆ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจ นั้น

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ อ้างคำพูดของนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว ใจความว่า

ความเคารพต่อคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า

1.คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีที่มาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 (ในขณะนั้น) ซึ่งมาตรา 301 แห่งรัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติกล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมาตรา 301 วรรคหนึ่ง (3) บัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนและวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพื่อดำเนินการต่อไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ขณะที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 19 (3) ได้บัญญัติเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญดังกล่าว ซึ่งมีเจตนารมณ์ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและวินิจฉัย

คำว่า “วินิจฉัย” หมายถึง ตัดสิน ชี้ขาด ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ย่อมมีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ

การที่ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยว่า จากรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าผู้ฟ้องคดีจงใจหรือมีเจตนากระทำการหรือละเว้นไม่กระทำการใดๆ หรือร่วมกับผู้อื่นกระทำการหรือละเว้นไม่กระทำการ ในการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้สำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันเข้าองค์ประกอบของความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จึงเป็นการวินิจฉัยก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 (ในขณะนั้น) มาตรา 223 วรรคสอง บัญญัติว่า อำนาจศาลปกครองตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึงการวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้น

2.การที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยว่า “ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม จึงเป็นมูลความผิดทางอาญา ส่วนความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ถือเป็นมูลความผิดทางวินัย ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยผู้ฟ้องคดีเฉพาะความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ” เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดคลาดเคลื่อนกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต

กล่าวคือ ความหมายของคำว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ได้มีการกำหนดคำนิยามไว้ในมาตรา 4 แล้ว หมายความว่า “ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น” ซึ่งมิใช่ความผิดทางวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แต่เป็นมูลความผิดทางอาญา ซึ่งจะเห็นได้จากบทบัญญัติในมาตรา 123 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ที่กำหนดว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นการนำนิยามคำว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” มาบัญญัติไว้เป็นองค์ประกอบความผิด และเป็นบทบัญญัติที่มีโทษทางอาญา

อีกทั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ไม่ได้บัญญัติว่า ให้ความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น ซึ่งความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม อาจเป็นความผิด ”ทางอาญา” และความผิด “ทางวินัย” ด้วยก็ได้

3.เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไต่สวนกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมแล้ว บทบัญญัติมาตรา 91 กำหนดว่า ในกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อกล่าวหาใดมีมูลความผิดให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

(1) ถ้ามีมูลความผิดทางวินัย ให้ดำเนินการตามมาตรา 92

(2) ถ้ามีมูลความผิดทางอาญา ให้ดำเนินการตามมาตรา 97

ซึ่งเห็นได้ว่าบทบัญญัติมาตรา 91 ได้แยกกระบวนการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาต่างหากจากกัน โดยมิได้กำหนดให้ต้องมีมูลความผิดทางอาญาก่อนแล้วจึงสามารถดำเนินการทางวินัยต่อไปได้ อีกทั้ง ตามมาตรา 91 (1) ก็มิได้บัญญัติว่าจะต้องมีมูลความผิดทางวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการเท่านั้น

นอกจากนี้ มาตรา 92 ได้บัญญัติว่า “ในกรณีมีมูลความผิดทางวินัย เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดแล้วมีมติว่าผู้ถูกกล่าวหาผู้ใดได้กระทำความผิดวินัย…” อันแสดงให้เห็นว่า หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดแล้วเห็นว่า แม้การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่มีมูลความผิดทางวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แต่หากปรากฏว่ามีมูลความผิดทางวินัยฐานอื่นอันเป็นผลจากการกระทำความผิดที่มีการกล่าวหาแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้มูลความผิดทางวินัยในฐานความผิดอื่นตามมาตรา 92 ได้ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (เรื่องเสร็จที่ 158/2551) ได้วินิจฉัยว่า “มูลความผิดทางวินัย ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มิได้มีความหมายเฉพาะความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่เท่านั้น” และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2552 พิพากษาสรุปว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ (ไม่ใช่ความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ) เป็นการกระทำโดยชอบแล้ว

จากข้อเท็จจริงและเหตุผลข้างต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึง “ไม่อาจเห็นพ้องด้วย” กับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว และโดยที่คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดส่งผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต อีกทั้งยังเป็นปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมจึงมีมติให้ดำเนินการ ดังนี้

  1. เสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องดังกล่าว ตามมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)
  1. ให้ยื่นคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดี หรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีดังกล่าวใหม่ ตามมาตรา 75 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

ป.ป.ช. แจงยิบสาเหตุได้ค่าคะแนน “ดัชนีความโปร่งใส”เท่าเดิม ยันแก้ปัญหาทุจริตดีขึ้น –ลดลงด้านเดียวเรื่องนิติรัฐ

$
0
0
 นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)

สรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มาภาพ : www.nacc.go.th

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2559 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งเอกสารประชาสัมพันธ์ อ้างคำพูดของนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่กล่าวชี้แจงถึงค่าคะแนนดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index : CPI) ประจำปี 2558 ที่จัดโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ และมีการเผยแพร่ไปเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งผลปรากฎว่า แม้ประเทศไทยจะมีลำดับที่ดีขึ้นจากปีก่อน จากอันดับที่ 85 เป็นอันดับที่ 76 แต่ได้ค่าคะแนนเท่าเดิม คือ 38 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยคณะทำงานศึกษาค่าแนน CPI ได้รายงานผลดังกล่าว พร้อมวิเคาะห์ถึงสาเหตุที่ได้ค่าคะแนนดังกล่าว ต่อประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. รับทราบไปแล้ว มีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้

ในการให้ค่าคะแนน CPI กับประเทศไทย องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ได้พิจารณาข้อมูลจากแหล่งข้อมูล 8 แหล่งข้อมูล สรุปได้ ดังนี้

1.แหล่งข้อมูลที่ประเทศไทย ได้คะแนน “เพิ่มขึ้น” จากปีก่อน มี 3 แหล่งข้อมูล คือ

1.1 International Institute Management Development (IMD) : World Competitiveness Yearbook ได้ 38 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5 คะแนน

โดย IMD นำข้อมูลสถิติทุติยภูมิและผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูง ไปประมวลผลจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและพิจารณาจาก 4 องค์ประกอบ คือ 1.สมรรถนะทางเศรษฐกิจ 2.ประสิทธิภาพของภาครัฐ 3.ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ 4.โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ IMD จะสำรวจข้อมูลประมาณเดือนมกราคม-เมษายนของทุกปี และในช่วงเวลาดังกล่าวของปี 2558 ประเทศไทยมีการปรับตัวดีขึ้นใน 4 องค์ประกอบข้างต้น

1.2 World Economic Forum (WEF) : Executive Opinion Survey ได้ 43 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4 คะแนน

โดย WEF สำรวจมุมมองของนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเกี่ยวกับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสูงสุดในการทำธุรกิจ 5 ด้าน คือ 1.การคอร์รัปชัน 2.ความไม่มั่นคงของรัฐบาล/ปฏิวัติ 3.ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย 4.ระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ 5.โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่ไม่เพียงพอ ว่าแต่ละปัจจัยเป็นอุปสรรคเพิ่มขึ้นหรือลดลง ซึ่งผลสำรวจในปี 2558 WEF รายงานว่าปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ 5 ด้านดังกล่าว ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคลดลงสูงที่สุดเมื่อเทียบกับปี 2557 คือการคอร์รัปชัน โดยปี 2557 ระดับของอุปสรรคตัวนี้อยู่ที่ร้อยละ 21.4 แต่ในปี 2558 อุปสรรคตัวนี้เหลือเพียงร้อยละ 12.5 และอุปสรรคด้านความไม่มั่นคงของรัฐบาลลดลงเช่นกัน จากที่มองว่าเป็นอุปสรรคร้อยละ 21  ในปี 2557 เหลือร้อยละ 18.1 ในปี 2558 รวมทั้งอุปสรรคระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อย โดยมองว่าเป็นอุปสรรคร้อยละ 12.7 ในปี 2557 เหลือร้อยละ 12.3 ในปี 2558 ดังนั้น การที่นักธุรกิจมองว่า ปัจจัยเชิงลบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในประเทศไทยลดน้อยลง จึงน่าจะเป็นเหตุผลให้ค่าคะแนน WEF เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ WEF จะสำรวจข้อมูลประมาณเดือนมกราคม – มิถุนายนของทุกปี

1.3 Political and Economic Risk Consultancy (PERC) ได้ 42 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7 คะแนน

โดย PERC สำรวจนักธุรกิจในท้องถิ่นและนักธุรกิจชาวต่างชาติในแต่ละประเทศ เพื่อให้คะแนนเกี่ยวกับระดับปัญหาการทุจริตในประเทศที่เข้าไปทำงานหรือประกอบธุรกิจ ว่าลดลง เพิ่มขึ้น หรือเท่าเดิม เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดังนั้น ค่าคะแนนที่เพิ่มขึ้น น่าจะมาจากผลการสำรวจกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว เห็นว่าปัญหาการทุจริตลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา องค์กรอิสระ รัฐบาล หน่วยงานของรัฐ และทุกภาคส่วน ได้แสดงเจตจำนง มีการบูรณาการและดำเนินการจัดการกับปัญหาการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้างขึ้น

ทั้งนี้ PERC จะสำรวจข้อมูลประมาณเดือนมกราคม – มีนาคมของทุกปี

ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน ประจำปี พ.ศ. 2558 ของประเทศไทยตั้งแต่ ปี 2538 – 2558 ที่มา: เรียบเรียงข้อมูลโดยมูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย แหล่งข้อมูล  http://www.transparency.org  หมายเหตุ: องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติได้ปรับเปลี่ยนวิธีการคิดคะแนนจากเดิมคะแนนเต็ม 10 คะแนนเป็นคะแนนเต็ม 100 คะแนนตั้งแต่ ปี พ.ศ 2555 เป็นต้นมา

ค่าคะแนนดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (CPI) ของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2538-2558 ที่มา: มูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย

2.แหล่งข้อมูลที่ประเทศไทย ได้คะแนน “เท่ากับ” ปีก่อน มี 4 แหล่งข้อมูล คือ

2.1 Bertelsmann Foundation Transformation Index (BF-BTI) ได้ 40 คะแนน เท่าปีก่อน

โดย BF-BTI ใช้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์และประเมินกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี และดูความเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือ 1.ด้านการเมือง 2.ด้านเศรษฐกิจ 3.ด้านการจัดการของรัฐบาล ทั้งนี้ BF-BTI จะมีการวิเคราะห์ประเมินและเผยแพร่ผลทุก 2 ปี และข้อมูลที่เผยแพร่ครั้งล่าสุด คือ ปี 2557 ดังนั้น คะแนนปีนี้ จึงอาจใช้ข้อมูลจากฐานเดิมปี 2557 และครั้งต่อไปที่จะเผยแพร่ผล คือปี 2559

2.2 International Country Risk Guide (ICRG) : Political Risk services ได้ 31 คะแนนเท่าปีก่อน

โดย ICRG เป็นองค์กรแสวงหากำไร ให้บริการวิเคราะห์วิจัยและจัดอันดับสภาวะความเสี่ยงระดับประเทศ ประเมินความเสี่ยงด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ และด้านการเงิน ซึ่งองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ใช้ข้อมูลรายงานความเสี่ยงด้านการเมือง มาประกอบการพิจารณาให้ค่าคะแนน ทั้งนี้ การคอร์รัปชันเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง ICRG มุ่งประเมินการคอร์รัปชันในระบบการเมือง โดยเฉพาะรูปแบบทุจริตที่นักธุรกิจมีประสบการณ์ตรงและพบมากที่สุด นั่นคือการเรียกรับสินบน การเรียกรับเงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้า/ส่งออก การประเมินภาษี รวมถึงระบบอุปถัมภ์ ความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางธุรกิจกับการเมือง

ทั้งนี้ ICRG มีการประเมินและเผยแพร่ผลทุก 1 ปี ครั้งล่าสุดเป็นการประเมินรอบเดือนสิงหาคม 2557 – สิงหาคม 2558

2.3 Economist intelligence Unit (EIU) : Country Risk Rating ได้ 38 คะแนน เท่าปีก่อน

โดย EIU วิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศต้องเผชิญ ได้แก่ ความโปร่งใสในการจัดสรรและการใช้จ่ายงบประมาณ การใช้ทรัพยากรของราชการ/ส่วนรวม การแต่งตั้งข้าราชการจากรัฐบาลโดยตรง มีหน่วยงานอิสระในการตรวจสอบการจัดการงบประมาณของหน่วยงานนั้นๆ มีหน่วยงานอิสระด้านยุติธรรมตรวจสอบผู้บริหาร/ผู้ใช้อำนาจ ธรรมเนียมการให้สินบน เพื่อให้ได้สัญญาสัมปทานจากหน่วยงาน  ของรัฐ

ทั้งนี้ EIU จะมีการสำรวจเก็บข้อมูลประมาณเดือนมกราคม – สิงหาคมของทุกปี ครั้งล่าสุดเป็นการรายงานเดือนสิงหาคม 2558

2.4 Global Insight Country Risk Rating (GI) ได้ 42 คะแนนเท่าปีก่อน

โดย GI ประเมินปัจจัยเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ต้องเกี่ยวกับคอร์รัปชัน การแทรกแซงของเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินธุรกิจ การให้สินบนและสิ่งตอบแทนสำหรับพิจารณาสัญญา และขอใบอนุญาต

ทั้งนี้ GI ได้รายงานข้อมูลครั้งล่าสุด     เมื่อเดือนสิงหาคม 2557 ดังนั้น ผลคะแนนของปี 2558 จึงอาจใช้ฐานข้อมูลดังกล่าว

3.แหล่งข้อมูลที่ประเทศไทย ได้คะแนน “ลดลง” กว่าปีก่อนมี 1 แหล่งข้อมูล คือ

3.1 World Justice Project (WJP) : Rule of Law Index ได้คะแนน 26 คะแนน ลดลงจากปีก่อน 18 คะแนน

โดย WJP ประเมินค่าความโปร่งใสโดยใช้หลักนิติรัฐ ซึ่งมีหลักการสำคัญ 4 ประการ คือ 1.รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและถูกตรวจสอบได้ 2.กฎหมายต้องเปิดเผย ชัดเจน มั่นคง ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน 3.กระบวนการทางกฎหมายมีความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ 4.การตัดสินคดีต้องมีความเป็นธรรม มีจริยธรรม มีความเป็นกลาง ซึ่งผลคะแนนที่ลดลงมากนี้ น่าจะมาจากปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง คือสภาพปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาที่มีอิทธิพลต่อตัวชี้วัดนี้ไม่น้อย

ทั้งนี้ WJP จะมีการเก็บข้อมูล ประมาณเดือนกันยายน – ตุลาคม ของทุกปี

นายสรรเสริญ กล่าวว่า อาจกล่าวได้ว่าค่าคะแนนที่เพิ่มขึ้นของ 3 แหล่งข้อมูลข้างต้น เป็นผลจากมุมมองของผู้บริหารระดับสูงและนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ที่กลับมาเชื่อมั่นประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากการที่รัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เกิดเสถียรภาพ ความเสี่ยงทางการเมืองลดลง มีนโยบายชัดเจน ให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ส่งผลต่อการรับรู้ในระดับนานาชาติในทางที่ดีขึ้น

“แต่อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าการดำเนินการเพื่อเพิ่มค่าดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน ไม่ใช่แค่เพียงการลดปัญหาการทุจริตเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วนในสังคม ที่ต้องรวมพลังสร้างสังคมที่ดี นอกจากนี้ จากการศึกษาพบว่าช่วงระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคมของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาของการเก็บข้อมูลของเกือบทุกแหล่งข้อมูลข้างต้น องค์กรอิสระ รัฐบาล หน่วยงานภาครัฐและทุกภาคส่วน จึงควรเร่งสร้างภาพลักษณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจในช่วงเวลานี้ไปพร้อมกัน รวมถึงการเผยแพร่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 มีการบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม และมีการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสทุกหน่วยงานภาครัฐ โดยให้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนกับประชาชน นักลงทุน หน่วยงาน/องค์กร สื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ จะมีส่วนช่วยเพิ่มค่าคะแนน CPI ในปี 2559 ต่อไป และที่สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างสังคมที่ดีอย่างต่อเนื่องยั่งยืนทุกช่วงทุกเวลา” เลขาธิการ ป.ป.ช. ระบุ

สตง. สรุปผลสอบปมราชภักดิ์ “ไม่พบสิ่งผิดปกติ”ทั้งเรื่องหัวคิว-เงินบริจาค หล่อพระรูปไม่แพงเกินจริง

$
0
0

581119ราชภักดิ์-620x467

หลังตกเป็นข่าวมากว่า 4 เดือน ในที่สุดการตรวจสอบความโปร่งใสของโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์บนพื้นที่โรงเรียนนายสิบ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มีมูลค่าในการก่อสร้างกว่า 1 พันล้านบาท และดำเนินการโดยกองทัพบก (ทบ.) สมัยที่ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร เป็นผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ. (ระหว่างเดือนตุลาคม 2557 – เดือนกันยายน 2558) ก็ใกล้จะได้บทสรุป เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เตรียมสรุปผลการตรวจสอบเสนอต่อศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ที่มี พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ในเร็วๆ นี้ หลังมีการเรียกเอกสารจาก ทบ. ไปตรวจสอบ พร้อมกับเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ รวมถึงเดินทางไปตรวจสอบในพื้นที่เสร็จสิ้นแล้ว

ก่อนหน้านี้ ช่วงปลายเดือนมกราคม 2559 แหล่งข่าวระดับสูงใน สตง. เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบรายรับ-รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด โดยเฉพาะในส่วนของเงินบริจาคกว่า 900 ล้านบาท ทั้งส่วนที่บริจาคผ่านกองทุนสวัสดิการกองทัพบก หรือผ่านมูลนิธิราชภักดิ์ เพราะมีใบเสร็จยืนยันการบริจาคชัดเจน

“เหลือเพียงประเด็นเดียวที่ต้องตรวจสอบต่อไป คือการหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์แห่งสยามทั้ง 7 พระองค์ ว่ามีการเรียกรับค่าหัวคิวจากโรงหล่อตามที่เป็นข่าว รวมถึงมีการตั้งราคาจัดซื้อจัดจ้างที่สูงผิดปกติหรือไม่” แหล่งข่าวระบุ

ตลอดช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการ สตง. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของ สตง. ได้ลงพื้นที่อุทยานราชภักดิ์ด้วยตัวเอง พร้อมกับเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ โดยเฉพาะ “เซียนพระ อ.” ที่ถูกพาดพิงว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับค่าหัวคิวจากโรงหล่อก็เดินทางมาให้ปากคำเป็นครั้งแรก ก่อนที่ สตง. จะได้ข้อสรุปว่า ไม่พบสิ่งผิดปกติในการหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์แห่งสยามทั้ง 7 พระองค์แต่อย่างใด

นายพิสิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

อย่างไรก็ตาม แม้ สตง. จะสรุปว่าโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ไม่มีสิ่งผิดปกติ แต่ยังมีประเด็นที่ต้องตรวจสอบต่อไป นั่นคือ การขอรับบริจาคเงินเพื่อนำมาก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ของ ทบ. สมัย พล.อ. อุดมเดช ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2544  ซึ่งตามระเบียบฯ นี้ กำหนดว่าผู้ฝ่าฝืนจะต้อง “ถูกลงโทษทางวินัย” ส่วนเงินบริจาคที่ได้มาจากการไม่ปฏิบัติตามระเบียบฯ นี้จะต้อง “ถูกแช่แข็ง” เอาไว้ก่อน ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ (กคร.) จะต้องมาพิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามความคืบหน้ากรณีนี้จาก ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กคร. คนปัจจุบัน ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ว่าจะทำอย่างไรกับเงินบริจาคกรณีโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ แต่ ม.ล.ปนัดดากลับปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามตลอดมา

นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ไปยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องในโครงการนี้ด้วย โดยปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ออกมาจาก ป.ป.ช.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ตกเป็นข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2558 เมื่อมีแหล่งข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ไม่เปิดเผยชื่อ) ออกมาให้ข่าวว่า อาจมีการทุจริตทั้งในส่วนของการรับเงินบริจาคและการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าบางรายการ โดยเฉพาะกรณีเรียกรับค่าหัวคิวจากโรงหล่อในการหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์แห่งสยาม รวมเป็นเงิน 20 ล้านบาท โดยอาจมี “เซียนพระ อ.” เข้าไปเกี่ยวข้อง

กระทั่ง ทบ. ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มี พล.อ. วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ก่อนจะสรุปว่าไม่มีการทุจริต แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังไม่ลดลง กระทั่ง กห. ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาอีกชุด โดยมี พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัด กห. เป็นประธาน ที่แม้จะสรุปรายรับ-รายจ่ายในโครงการนี้อย่างละเอียด แต่กลับไม่ได้ตรวจสอบกรณีเรียกรับค่าหัวคิวจากการหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์แห่งสยามแต่อย่างใด กระทั่ง ศอตช. ได้มอบหมายให้ สตง. เป็นหน่วยงานหลักในการเข้าไปตรวจสอบ ก่อนจะสรุปว่าไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด

เงินครูหาย 2,500 ล้าน สกสค.ชงรมว.ศึกษา ฟ้องไล่เบี้ยธนาคาร นายแบงก์ชี้ลูกค้าถอนเงินตามเงื่อนไข-ยืนยันไม่จ่าย

$
0
0

หลังจากพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งวันที่ 16 เมษายน 2558 ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายเงินภาครัฐ(คตร.)ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ การบริหารทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดของคุรุสภา, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และองค์การค้าของ สกสค.

คดีที่มีความคืบหน้ามากที่สุดในขณะนี้ จะเป็นคดีอดีตผู้บริหารสกสค.อนุมัติเงินกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ของ“กองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา”(ช.พ.ค.) รวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด เพื่อลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี โดยที่ไม่มีหลักประกันเงินกู้ที่ชัดเจน สุดท้ายบริษัทบิลเลี่ยนฯไม่สามารถคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้กองทุนช.พ.ค.ได้ ทำให้กองทุนได้รับความเสียหาย 2,500 ล้านบาท

ทางสำนักงานสกสค.จึงแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ผู้บริหารบริษัทบิลเลี่ยนฯ หรือ “เสี่ยบิ๊ก” ประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ กลายเป็นผู้ต้องหาในคดีปลอมแปลงตั๋วสัญญาใช้เงิน ร่วมกันฉ้อโกง หลังจากนายสัมฤทธิ์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2559 ทางสกสค.เตรียมทำหนังสือเสนอต่อพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอความเห็นชอบให้ดำเนินคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายกับธนาคารแห่งหนึ่ง กรณีธนาคารอนุญาตให้ผู้บริหารสกสค.ถอนเงิน 2,100 ล้านบาท โอนเข้าบัญชีเงินฝากของบริษัทบิลเลี่ยนฯ โดยพลการ โดยก่อนหน้านี้สำนักงานสกสค.เชิญผู้บริหารธนาคารรายนี้มาหารือ ธนาคารยืนยันว่าได้อนุญาตให้ผู้ฝากเงินถอนเงินและปิดบัญชีอย่างถูกต้อง จึงไม่ชดใช้เงินคืนให้กับสำนักงานสกสค.(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

ธนชาต 2

โดยผู้บริหารของธนาคารแห่งนี้ เปิดเผยว่า สำหรับเงื่อนไขการถอนเงินตามที่กองทุนช.พ.ค.ตกลงทำสัญญาไว้กับธนาคาร ระบุรายชื่อผู้มีอำนาจถอนเงิน 4 คน คือ 1.นาย A 2.นาย B 3.นาย C และ 4.นาย D ทั้งนี้การเบิกถอนเงินทุกครั้ง ต้องมีผู้มีอำนาจลงนามในใบถอนเงิน 2 ใน 4 คน โดยในวันที่ 27 ธันวาคม 2556 นาย A และนาย B เป็นผู้ลงนามถอนเงินจำนวน 2,100 ล้านบาท และปิดบัญชี ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาเงินฝาก ทางธนาคารจึงโอนเงิน 2,100 ล้านบาท ผ่านระบบบาทเน็ตไปเข้าบัญชีเงินฝากของบริษัท บิลเลี่ยนฯ ตามคำร้องขอของผู้ฝากเงิน ส่วนดอกเบี้ยของกองทุนช.พ.ค. ทางธนาคารโอนเข้าบัญชีเงินฝากของสำนักงานสกสค.

“กรณีอดีตผู้บริหารของสกสค.ร่วมกับผู้บริหารบริษัท บิลเลี่ยนฯ ถูกตำรวจตั้งข้อกล่าวหาร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร หรือร่วมกันฉ้อโกงเงินสวัสดิการของครู 2,100 ล้านบาท เป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องไปติดตามทวงเงินคืนจากผู้ต้องหาเอง ธนาคารไม่มีส่วนร่วมรู้เห็นกับการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2556 มีกรรมการกองทุนช.พ.ค. 2 คน ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจถอนเงินมาลงชื่อในใบถอนเงินและปิดบัญชีกับธนาคารอย่างถูกต้อง ธนาคารจึงอนุญาตให้ลูกค้าถอนเงินตามเงื่อนไขของสัญญา และเนื่องจากเป็นการถอนเงินจำนวนมาก หากลูกค้าถือเงินสด เพื่อนำไปฝากกับธนาคารอื่น ระหว่างเดินทางอาจจะไม่ปลอดภัย ธนาคารจึงโอนเงินไปเข้าบัญชีบริษัทบิลเลี่ยนฯตามคำขอของลูกค้า” แหล่งข่าวจากธนาคาร กล่าว

แหล่งข่าวจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เปิดเผยว่า ความเป็นมาของคดีนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ได้รับหนังสือร้องเรียนจากนายบุญส่ง สุขโขทัย อดีตผู้อำนวยการสกสค. จังหวัดสมุทรสาคร 2 สมัย กล่าวหาอดีตเลขาธิการสกสค. และพวกมีพฤติกรรมใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่อนุมัติเงินจากกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการช.พ.ค. 2,100 ล้านบาท ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด จำกัด โดยไม่มีหลักประกันเงินกู้ที่ชัดเจน เมื่อถึงวันครบกำหนดไถ่ถอน บริษัท บิลเลี่ยนไม่สามารถคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้กับกองทุนช.พ.ค.ได้ จึงเชื่อว่าอดีตเลขาธิการสกสค.และพวก อาจมีเจตนายักยอกเงินกองทุน เพื่อนำไปแบ่งปันผลประโยชน์กัน

กองทุนชพค

และจากการตรวจสอบเส้นทางเงิน พบว่ากองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการช.พ.ค. นำเงินไปลงทุนกับบริษัทบิลเลี่ยนฯ 3 ครั้ง คิดเป็นวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท มีรายละเอียดดังนี้

ครั้งที่ 1 วันที่ 30 มิถุนายน 2556 นำเงิน 500 ล้านบาท ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทบิลเลี่ยนฯ โดยมี LH Bank เป็นผู้อาวัล การลงทุนครั้งนี้ ทางช.พ.ค.ได้รับเงินคืนเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2557

ครั้งที่ 2 วันที่ 27 ธันวาคม 2556 ซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท บิลเลี่ยนฯ 2,100 ล้านบาท โดยมีที่มาดังนี้

วันที่ 20 ธันวาคม 2556 บริษัท บิลเลี่ยนฯ ทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมการกองทุนช.พ.ค. เพื่อชักชวนให้มาซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน 2,100 ล้านบาท โดยอ้างว่ามีธนาคารอาวัล แต่ไม่ได้ระบุชื่อธนาคาร ระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอน 1 ปี 1 วัน ดอกเบี้ย 7% ต่อปี

วันที่ 25 ธันวาคม 2556 คณะกรรมการสกสค.จัดประชุมเร่งด่วนมีมติครั้งที่ 15/2556 อนุมัติให้ซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท บิลเลี่ยนฯ 2,100 ล้านบาท ดอกเบี้ย 7% ระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอน 1 ปี 1 วัน โดยต้องมีธนาคารที่มีความมั่นคงอาวัล และให้ดำเนินการภายในวันที่ 27 ธันวาคม 2556

บริษัท บิลเลี่ยนฯ ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 2,100 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 28 ธันวาคม 2557 ปรากฎว่าตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับนี้ไม่มีธนาคารอาวัล ทางบริษัทบิลเลี่ยนฯจึงนำหลักประกันหลายรายการมาวางคำประกัน ซึ่งทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบภายหลังพบว่าเป็นเอกสารปลอมทั้งหมด

วันที่ 17 มกราคม 2557 กองทุนฯได้รับดอกเบี้ยจากบริษัท บิลเลี่ยน 147 ล้านบาท ซึ่งตามสัญญาระบุว่า บริษัท บิลเลี่ยนฯ ต้องชำระดอกเบี้ยล่วงหน้าภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันทำสัญญา

ครั้งที่ 3 วันที่ 1 สิงหาคม 2557 ซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่มอีก 400 ล้านบาท มีที่มาดังนี้

วันที่ 27 กรกฎาคม 2557 บริษัท บิลเลี่ยนฯทำหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการสกสค. และประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อขอวงเงินซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่มและการอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 400 ล้านบาท

วันที่ 1 สิงหาคม 2557 อดีตประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ลงนามทำสัญญากับบริษัท บิลเลี่ยนฯ โดยมีนายมงคล เยี่ยงศุภพานนท์ และนายสิทธินันทน์ หลอมทอง เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม โดยกองทุนซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่มอีก 400 ล้านบาท อายุ 150 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 28 ธันวาคม 2557 (ครบกำหนดไถ่ถอนวันเดียวกับตั๋วสัญญาใช้เงิน 2,100 ล้านบาท) ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2557 ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับนี้ ไม่มีธนาคารอาวัล

ปรากฎว่าวันที่ 26 ธันวาคม 2557 ก่อนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 วัน บริษัท บิลเลี่ยนฯ อ้างเหตุขัดข้องเรื่องการยื่นเอกสาร ขอขยายเวลาคืนเงินให้กองทุนฯเต็มจำนวนเป็นวันที่ 31 มกราคม 2558 พร้อมดอกเบี้ย และวางเงินประกันเพิ่ม แต่เมื่อกำหนด บริษัทบิลเลี่ยนฯ ก็ไม่สามารถคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้กองทุนฯได้ และจากการตรวจสอบของสตง. พบว่า หลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันมีมูลค่าสูงเกินจริง และบางส่วนเป็นของปลอม

วันที่ 3 มิถุนายน 2558 คณะกรรมการธุรกรรม ป.ป.ง. จึงมีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดจำนวน 133 รายการเป็นการชั่วคราว

อ่านเพิ่มเติมที่นี่


ป.ป.ช. ยุค “วัชรพล ประสารราชกิจ” ทำงานเป็นคลัสเตอร์ ให้จังหวัดไต่สวนคดีได้ –เน้นโปร่งใส โชว์ข้อมูลทุกคดีบนเว็บไซต์

$
0
0
พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มาภาพ : www.nacc.go.th

พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มาภาพ : www.nacc.go.th

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มี พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน ได้เปิดแถลงข่าวถึงยุทธศาสตร์และแนวทางการทำงานต่อสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก

ตั้งเป้าคดีสำคัญเสร็จปีละ 500 คดี – ให้ ป.ป.ช. จังหวัดไต่สวนเองได้

พล.ต.อ. วัชรพล กล่าวว่า ในการทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตยุคตน จะให้สำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดมีบทบาทมากขึ้น ทั้งนี้ จะมีการแบ่งระดับคดีออกเป็นขนาด S M L XL ตามจำนวนผู้ถูกกล่าวหา จำนวนข้อกล่าวหา มูลค่าความเสียหาย และความซับซ้อนของคดี โดยคดีขนาด S และ M ให้สำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดสามารถไต่สวนและทำสำนวนคดีได้เอง ก่อนเสนอที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่พิจารณาวินิจฉัยว่าจะชี้มูลหรือยกคำร้อง โดยจะให้กรรมการ ป.ป.ช. และผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. ที่มอบหมายให้ไปกำกับดูแลแต่ละเขตพื้นที่ รวม 9 เขต เป็นผู้กลั่นกรองว่าคดีใดที่สำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดสามารถไต่สวนและทำสำนวนคดีเองได้

สำหรับคดีขนาด L และ XL จะให้สำนักไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. ส่วนกลางที่มีอยู่ 8 สำนักหลัก (สำนักไต่สวนคดีทุจริตภาครัฐ 3 สำนัก สำนักไต่สวนคดีทุจริตภาคการเมือง 4 สำนัก และสำนักไต่สวนคดีทุจริตภาครัฐวิสาหกิจ อีก 1 สำนัก) เป็นผู้รับผิดชอบ

ส่วนจะไปถึงขั้นให้ ป.ป.ช. จังหวัดพิจารณาวินิจฉัยคดีแทนที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ได้หรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องของอนาคตอีกยาวไกล เพราะต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือกฎหมายของ ป.ป.ช. ที่กำหนดว่าการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนและการพิจารณาวินิจฉัยดคีใดๆ นั้น ให้เป็นอำนาจของที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่

“ในปี 2559 นี้ตั้งเป้าว่า สำนักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง จะทำคดีสำคัญๆ และคดีที่ประชาชนให้ความสนใจให้เสร็จอย่างน้อย 500 คดี จากปี 2558 ทำเสร็จเพียง 230 คดีเท่านั้น ทำให้เหลือคดีค้างกว่า 2,000 คดี ซึ่งหากดำเนินการได้เร็ว ไม่เพียงจะทำให้เกิดความเกรงกลัวที่จะทำผิด สังคมก็จะให้ความเชื่อมั่นกับ ป.ป.ช. มากขึ้น”

พล.ต.อ. วัชรพล ยังกล่าวว่า ตนจะให้กรรมการ ป.ป.ช. แต่ละคนลงพื้นที่ในกลุ่มจังหวัดที่กำกับดูแลอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อพบปะกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ในกลุ่มจังหวัดนั้นๆ รวมถึงพันธมิตรในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างมาตรการป้องกันการทุจริต นอกจากนี้ จะเร่งฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ใหม่ที่เพิ่งบรรจุใหม่กว่า 800 คน ให้เป็นผู้ช่วยพนักงานไต่สวนให้ได้ เพื่อเพิ่มจำนวนคนทำงาน จากที่ปัจจุบัน ป.ป.ช. มีพนักงานไต่สวนชำนาญการอยู่เพียง 200 คน และผู้ช่วยพนักงานไต่สวนอีก 700 คน และในเดือนมีนาคม 2559 จะมีการเวิร์กชอปคนทำงานของ ป.ป.ช. ทั้งหมด เพื่อให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน

เน้นโปร่งใส โชว์ข้อมูลทุกคดีบนเว็บไซต์ ไฟเขียว “กรรมการ-เจ้าหน้าที่” แจงสื่อ

สำหรับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร พล.ต.อ. วัชรพล กล่าวว่า จะไม่มีการตั้งโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เพราะเลขาธิการ ป.ป.ช. ก็เหมือนเป็นโฆษกโดยตำแหน่งอยู่แล้ว และให้กรรมการ ป.ป.ช. แต่ละคน ไปจนถึงผู้บริหารของ ป.ป.ช. ไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการ รองเลขาธิการ ผู้ช่วยเลขาธิการ ไปจนถึงผู้อำนวยการสำนัก สามารถชี้แจงงานในหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ แต่อาจมียกเว้นรายละเอียดในสำนวนคดีที่ขอไม่เปิดเผย เพราะอาจกระทบกระเทือนต่อรูปคดี ที่เหลือให้สามารถชี้แจงได้หมด โดยเฉพาะเรื่องความคืบหน้าของคดีต่างๆ

“ผมยังตั้งใจว่าจะให้เปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าคดีต่างๆ ทุกคดีไว้บนเว็บไซต์ของ ป.ป.ช. ให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบ แต่ขอไม่เปิดเผยชื่อเจ้าหน้าที่ คณะทำงาน หรือคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่รับผิดชอบคดีนั้นๆ เพราะอาจถูกกดดันการทำงานได้” พล.ต.อ. วัชรพล กล่าว

รับ สนิทบิ๊ก คสช. แต่ยืนยันจะไม่ทำอะไรไม่ถูกต้อง

พล.ต.อ. วัชรพล ยังกล่าวถึงเสียงวิจารณ์เรื่องความใกล้ชิดกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเฉพาะ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงว่า ยอมรับว่าใกล้ชิดกับ พล.อ. ประวิตร เพราะเคยเป็นเลขานุการรองนายกฯ ของ พล.อ. ประวิตรมาก่อน เพราะหลังเกษียณอายุราชการ พล.อ. ประวิตรก็ชักชวนให้ไปรับตำแหน่งดังกล่าว อย่าลืมว่าการเมืองขณะนี้เป็นการเมืองในช่วงพิเศษ รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลช่วงพิเศษที่เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แต่เมื่อมีการเปิดรับสมัครกรรมการ ป.ป.ช. ตนก็ลาออกจากทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นเลขานุการรองนายกฯ ไปจนถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาสมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เพราะคิดว่าจะสามารถทำงานรับใช้ประเทศชาติได้

“การสนิทใกล้ชิดใครเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ แต่อยู่ที่ว่าเราจะปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่ออยู่ตรงนี้ผมก็ถูกสอดส่องมากมาย โดยเฉพาะจากสื่อมวลชน ถ้าทำไม่ดีก็ถูกดำเนินคดี ซึ่งตำแหน่งประธานกรรมการ ป.ป.ช. โทษเป็นสองเท่าของคนทั่วไป จึงยืนยันได้ว่าผมจะไม่เอาเกียรติประวัติในชีวิตราชการมาทำอะไรที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ซึ่งต้องดูกันต่อไป แต่ขอเรียนว่า ยิ่งถูกเพ่งเล็ง ผมยิ่งมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ประชาชน” พล.ต.อ. วัชรพล กล่าว

เล็งตั้งสำนักคดีร่ำรวยผิดปกติ ลุยคดีใกล้หมดอายุความ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวครั้งนี้ พล.ต.อ. วัชรพล ได้แจกจ่ายเอกสารนโยบายการทำงานของตน มีจำนวน 3 หน้ากระดาษเอสี่ แบ่งเป็น 6 หัวข้อ คือ 1. ด้านป้องกันการทุจริต 2. ด้านปราบปรามการทุจริต 3. ด้านตรวจสอบทรัพย์สิน 4. การจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประเด็นการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ 5. การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2561-2565) และ 6. การพัฒนาองค์กร

สาระสำคัญในนโยบายการทำงานของ พล.ต.อ. วัชรพล คือจะมุ่งทำงานแบบ 5 ส. (สามารถ สุจริต สากล สร้างสรรค์ สามัคคี) โดยมีแนวคิดในการปรับปรุงการทำงานของ ป.ป.ช. หลายข้อ อาทิ

  • ให้สำนักไต่สวนคดีในส่วนกลางกำหนดเป้าหมายเรื่องที่จะแล้วเสร็จในแต่ละเดือน โดยจัดกลุ่มงานออกเป็น 100 กลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน โดยมีพนักงานไต่สวนชำนาญการเป็นหัวหน้ากลุ่ม ดำเนินการทั้งแสวงหาข้อเท็จจริงและไต่สวนคดี
  • ให้กรรมการ ป.ป.ช. ที่กำกับดูแลในแต่ละเขตพื้นที่ จัดตั้งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองคดี พร้อมกับตั้งกลุ่มพนักงานไต่สวนในเขตพื้นที่ละ 5-10 กลุ่ม เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและไต่สวนคดีในเขตพื้นที่นั้นๆ เชื่อว่าจะทำให้การปราบปรามการทุจริตมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
  • เร่งดำเนินการเรื่องค้างเก่าที่จะหมดอายุความภายใน 2-3 ปีข้างหน้า
  • เร่งสะสางการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินที่ยังมีค้างอยู่ถึง 7.2 หมื่นบัญชี โดย 86% อยู่ในพื้นที่ของ ป.ป.ช. จังหวัด โดยมีนโยบายที่จะให้มีการจัดตั้งสำนักคดีร่ำรวยผิดปกติขึ้นมาทำคดีร่ำรวยผิดปกติโดยเฉพาะ
  • ก่อสร้างสำนักงาน ป.ป.ช. ทั้ง 76 จังหวัดให้ครบภายใน 5 ปี และให้แต่ละแห่งมีรถยนต์สำหรับใช้ในการปฏิบัติงานจังหวัดละ 2 คัน
  • ให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทุกคนมีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องต่อ 1 คน
  • ให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. มีคู่มือการปฏิบัติงานที่กำหนดระยะเวลาการปฏิบัติงานที่ชัดเจน

ทั้งนี้ จากข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 ป.ป.ช. มีจำนวนคดีคงค้าง 11,971 คดี (อยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน 9,839 คดี และอยู่ระหว่างไต่สวนข้อเท็จจริง 2,132 คดี) และจำนวนบัญชีทรัพย์สินคงค้าง 72,057 บัญชี (อยู่ในส่วนกลาง 9,749 บัญชี และส่วนจังหวัด 62,308 บัญชี)

ป.ป.ช. ขอข้อมูล “กลาโหม-สตง.” ลุยตรวจปม “ราชภักดิ์” เผยตั้งข้อสงสัยหลายประเด็น

$
0
0
 นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการแสวงหาข้อเท็จจริง กรณีที่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ในพื้นที่โรงเรียนนายสิบทหารบก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า หลังจากที่นายวีระได้ยืนยันกลับมาว่าต้องการให้ไต่สวนเจ้าหน้าที่ของรัฐ สำนักงาน ป.ป.ช. ก็ได้ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง ด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานขอข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ของกระทรวงกลาโหม ที่มี พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน และจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา คาดว่าจะได้รับข้อมูลทั้งจากกระทรวงกลาโหมและ สตง. ในเร็วๆ นี้ ก่อนจะมาสรุปว่า ข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานที่มีอยู่มีมูลเพียงพอต่อการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนหรือไม่

เมื่อถามว่า คณะกรรมการฯ ของกระทรวงกลาโหมได้สรุปว่าโครงการนี้โปร่งใส และหาก สตง. ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ สรุปว่าโครงการนี้ไม่มีการทุจริตอีก ป.ป.ช. สามารถเห็นต่างจากทั้ง 2 หน่วยงานและเดินหน้าตรวจสอบต่อไปได้หรือไม่ นายสรรเสริญกล่าวว่า ขอให้ได้รับพยานหลักฐานจากทั้ง 2 หน่วยงานก่อนถึงจะมาพิจารณาได้ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จึงยังตอบไม่ได้ว่า ผลการตรวจสอบของ ป.ป.ช. จะเหมือนกับคณะกรรมการฯ ของกระทรวงกลาโหมและ สตง. หรือไม่ แต่โดยหลักการแล้ว ป.ป.ช. จะมองในภาพรวมซึ่งกว้างกว่าที่ทั้ง 2 หน่วยงานตรวจสอบมา

“เบื้องต้น ป.ป.ช. ได้ตั้งประเด็นสงสัยที่จะตรวจสอบไว้หลายประเด็น นอกจากเรื่องความเป็นมาของโครงการ ยังรวมถึงการเรียกรับหัวคิวในการหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์แห่งสยาม ที่ผู้เกี่ยวข้องเคยยอมรับว่ามีจริง แต่ต่อมากลับปฏิเสธว่าไม่ได้พูดเช่นนั้น ซึ่งต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานว่าท้ายที่สุดแล้วมีการเรียกรับหัวคิวจริงหรือไม่” นายสรรเสริญกล่าว

เมื่อถามว่า หลายๆ โครงการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ไม่ได้เปิดเผยราคากลางไว้บนเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนช่วยตรวจสอบตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 และมติคณะรัฐมนตรี จะเป็นหนึ่งในประเด็นที่ต้องตรวจสอบเพื่อเอาผิดผู้เกี่ยวข้องหรือไม่ นายสรรเสริญกล่าวว่า “เราคงจะไม่ดูเป็นจุดๆ แต่จะพิจารณาในภาพรวม แล้วสรุปความเห็นเสนอต่อที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ เพื่อพิจารณาว่าจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีนี้หรือไม่”

อุทยานราชภักดิ์

อุทยานราชภักดิ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2558 นายวีระได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยขอให้ไต่สวน พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และผู้ที่เกี่ยวข้อง กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

  • กรณี พล.อ. ศิริชัย เนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจลงนามในการจัดซื้อจัดจ้างด้วย “วิธีพิเศษ” ตามกฎหมาย สำหรับโครงการที่มีวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณชนในขณะนี้ โครงการจัดซื้อจัดจ้างในอุทยานราชภักดิ์หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างรั้ว ป้ายทางเข้า งานปูหิน รวมถึงงานก่อสร้างพระบรมรูป มีวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาททั้งสิ้น
  • กรณี พล.อ. อุดมเดช เนื่องจากไม่ดำเนินการตรวจสอบและลงโทษนายทหาร (ยศ พล.ต. และ พ.อ.) ที่มีส่วนพัวพันกับการเรียกรับเงินของเซียนพระ อ. จากโรงหล่อ 4 โรง (จากทั้งหมด 5 โรง) ในการหล่อพระบรมรูป

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 4 มกราคม 2559 ป.ป.ช. ได้ส่งหนังสือกลับไปยังนายวีระให้ยืนยันการเป็นผู้กล่าวหาในคดีนี้ พร้อมตอบคำถามว่าเคยเป็นผู้โกรธเคืองกับผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ทำให้นายวีระโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Veera Somkwamkid แสดงความไม่พอใจ ก่อนที่จะตอบหนังสือกลับมายัง ป.ป.ช. ในกรณีดังกล่าว

ทั้งนี้ แม้ปัจจุบัน สตง. จะยังไม่เปิดเผยผลการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ต่อสาธารณชน เพราะต้องรายงานให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ที่มี พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน รับทราบก่อน แต่สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าได้รับรายงานว่า ผลการตรวจสอบเบื้องต้นของ สตง. ไม่พบความผิดปกติในโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด ไม่ว่าจะกรณีเงินบริจาค การเรียกรับหัวคิว และการจัดซื้อจัดจ้างบางรายการที่อาจมีราคาแพงเกินจริง โดยเฉพาะการหล่อพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์แห่งสยาม

ป.ป.ช. ชี้มูล “อดีต ขรก.สรรพากร”ร่ำรวยผิดปกติ เอี่ยวคดีโกง VAT รายที่ 2 –ขอศาลยึดทรัพย์ 597 ล้าน

$
0
0
น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่มาภาพ : www.mof.go.th

น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่มาภาพ: www.mof.go.th

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 นายสมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ได้เปิดแถลงข่าวผลการประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงการคลัง มีมติไล่ออกจากราชการ ข้าราชการกรมสรรพากรจำนวนหนึ่ง ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้กับกลุ่มผู้ส่งออกเศษเหล็ก 30 ราย โดยไม่ได้ประกอบกิจการจริง ทำให้รัฐเสียหายอย่างร้ายแรง คิดเป็นวงเงิน 3,209 ล้านบาท

ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2559 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ ได้มีมติชี้มูลความผิดนายสุวัฒน์ จารุมณีโรจน์ อดีตข้าราชการสรรพากรระดับซี 9 พื้นที่กรุงเทพมหานคร 27 ในคดีร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 597,728,229 บาท กรณีเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตการขอคืน VAT ดังกล่าว และให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นคำร้องต่อศาลให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา 80 (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ทรัพย์สินดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 ส่วน

  1. เงินจากกลุ่มบริษัทผู้ประกอบการส่งออกที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยมิชอบ จำนวน 26 บริษัท ได้ฝากเข้าบัญชีเงินฝากของนายสุวัฒน์และบุคคลใกล้ชิด รวมเป็นเงิน 415,897,041 บาท
  2. เงินที่อยู่ในชื่อของนายสุวัฒน์ คู่สมรส บุตร และญาติพี่น้องของคู่สมรส ซึ่งนายสุวัฒน์ไม่สามารถชี้แจงถึงที่มาของทรัพย์สินได้ รวมเป็นเงิน 181,831,188 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ ถือเป็นคดีที่ 2 ซึ่งที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ มีมติชี้มูลความผิดในคดีร่ำรวยผิดปกติ กับผู้เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตการขอคืนภาษี และส่งเรื่องให้ อสส. ยื่นคำร้องต่อศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ต่อจากกรณีนายศุภกิจ ริยะการ (สิริพงศ์ ริยะการธีรโชติ) อดีตข้าราชการสรรพากรระดับซี 9 พื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 รวมมูลค่า 31,754,337 บาท

น.ส.สุภากล่าวว่า ป.ป.ช. จะพยายามนำทรัพย์สินที่ถูกโกงไปกลับคืนมาให้ได้มากที่สุด โดยนอกจากกรณีนายสุวัฒน์และนายศุภกิจแล้ว ยังเหลือนายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.

เมื่อถามว่า ป.ป.ช. จะเรียกร้องความเสียหายจากบริษัทเอกชนที่ยื่นขอคืนภาษีเป็นเท็จด้วยหรือไม่ น.ส.สุภากล่าวว่า เป็นหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่กำลังตามตัวผู้เกี่ยวข้องมาส่งฟ้อง ส่วนจะขยายผลไปยังบุคคลกลุ่มใดได้อีกบ้างนั้น ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.

ป.ป.ช. มติเอกฉันท์ 7:0 ชี้มูล “ธาริต เพ็งดิษฐ์”ร่ำรวยผิดปกติ ชงศาลยึดทรัพย์ 346 ล้าน –อดีตอธิบดีดีเอสไอเตรียมตั้งทนายสู้

$
0
0
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มาภาพ: http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=9357&t=news

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มาภาพ: http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=9357&t=news

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2559 ราวเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แจ้งผู้สื่อข่าวว่า จะมีการแถลงข่าวด่วนเกี่ยวกับคดีของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใน 1 ชั่วโมงเศษ

ต่อมา เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีกล่าวหาว่านายธาริตร่ำรวยผิดปกติ พร้อมด้วยนายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ร่วมกันแถลงมติที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ 7:0 ชี้มูลความผิดนายธาริตในคดีดังกล่าว พร้อมส่งสำนวนต่ออัยการสูงสุดให้ยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจให้พิพากษาให้ทรัพย์สินของนายธาริต คู่สมรส และผู้เกี่ยวข้อง จำนวนกว่า 346,652,588 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

นายวรวิทย์กล่าวว่า คดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีประชาชนเข้าร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบกรณีข้าราชการระดับสูงสร้างบ้านบนเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา รุกล้ำที่สาธารณะหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยาของนายธาริต เป็นผู้ครอบครอง ป.ป.ช. จึงตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายธาริตที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ว่ามีบ้านหลังดังกล่าวหรือไม่ ผลปรากฏว่าไม่พบรายการดังกล่าว จึงมีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช. ขึ้นมาตรวจสอบ ก่อนพบว่ามีความพยายามในการยักย้าย แปรสภาพ ซุกซ่อน ทรัพย์สินต่างๆ ป.ป.ช. จึงออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้ 2 ครั้ง (เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2558  และวันที่ 30 ธันวาคม 2558) รวมจำนวน 90,260,687 บาท

“ต่อมา ที่ประชุม ป.ป.ช. ได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งนายธาริตก็มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ไม่ยอมมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไม่เข้าใจข้อกล่าวหาของคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ และอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยที่คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้เปรียบเทียบรายได้ของนายธาริต และพบว่าทรัพย์สินหลายรายการไม่มีที่มาที่ไป ที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่จึงมีมติชี้มูลความผิดนายธาริต ฐานร่ำรวยผิดปกติ” นายวรวิทย์กล่าว

สำหรับรายการทรัพย์สินของนายธาริต คู่สมรส และผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ มีมติให้ตกเป็นของแผ่นดิน มีจำนวน 20 รายการ ประกอบด้วย

  1. เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในชื่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ จำนวน 4 บัญชี รวมเป็นเงิน 1,254,673.52 บาท
  2. เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในชื่อนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ จำนวน 4 บัญชี รวมเป็นเงิน 236,827.91 บาท
  3. เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในชื่อนายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ จำนวน 4 บัญชี รวมเป็นเงิน 2,010,350.03 บาท
  4. ที่ดินโฉนดเลขที่ 2394 ต.คุ้งสำเภา อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท กรรมสิทธิ์ในชื่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์
  5. ที่ดินโฉนดเลขที่ 28532 ต.หลักหก อ.เมือง จ.ปทุมธานี พร้อมบ้านเลขที่ 414 ต.หลักหก อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี
  6. ที่ดินโฉนดเลขที่ 8078 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์
  7. ที่ดินโฉนดเลขที่ 9326 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์
  8. ที่ดินโฉนดเลขที่ 9917 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์
  9. บ้านคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น เลขที่ 444 และสิ่งปลูกสร้างไม่มีเลขที่จำนวน 5 หลัง ในชื่อ “ฟิออเร่ ปาร์ค” หมู่ที่ 11 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 8078, 9326 และ 9917 กรรมสิทธิ์ในชื่อนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์
  10. รถยนต์ยี่ห้อ MERCEDES BENZ รุ่น E 250 เลขทะเบียน ญฉ 414 กรุงเทพมหานคร ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในชื่อนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์
  11. รถยนต์ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น ALPHARD เลขทะเบียน ฆฐ 515 กรุงเทพมหานคร ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในชื่อนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์
  12. ที่ดินโฉนดเลขที่ 8139 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อนายสนชัย ศรีทองกุล
  13. ที่ดินโฉนดเลขที่ 71289 ต.คลองม่วง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อนายสนชัย ศรีทองกุล
  14. ที่ดินโฉนดเลขที่ 69674 ต.คลองม่วง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อนายสนชัย ศรีทองกุล
  15. ที่ดินโฉนดเลขที่ 9327 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อนายสนชัย ศรีทองกุล
  16. ที่ดินโฉนดเลขที่ 9328 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อนายสนชัย ศรีทองกุล
  17. ที่ดินโฉนดเลขที่ 16529 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อนายสนชัย ศรีทองกุล
  18. ที่ดินโฉนดเลขที่ 21038 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อนายสนชัย ศรีทองกุล
  19. ที่ดินโฉนดเลขที่ 28765 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อนายสนชัย ศรีทองกุล
  20. โฉนดเลขที่ 8090 ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กรรมสิทธิ์ในชื่อนายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการลงมติชี้มูลความผิดนายธาริต มีกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 2 คน ที่ไม่ได้ร่วมลงมติด้วย ประกอบด้วยนางสุวณา สุวรรณจูฑะ ที่ติดภารกิจ และ พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง ที่ขอไม่เข้าร่วมประชุม เนื่องจากมีนามสกุลเดียวกับทนายความของนายธาริต เกรงว่าจะมีส่วนได้ส่วนเสีย

“ธาริต” โต้อนุ ป.ป.ช. รวมทรัพย์สินผิดหลักบัญชี เตรียมตั้งทนายความสู้คดี

หลังจากทราบผลการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ในคดีกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ นายธาริตก็ได้ส่งคำชี้แจงมาให้กับสื่อมวลชนผ่านแอปพลิเคชันไลน์ มีข้อความดังนี้

ข้อ 1 อนุกรรมการไต่สวนฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อข้าพเจ้าถึง 2 ครั้ง ทั้งนี้ อนุกรรมการได้นำเอาเงินฝากหมุนเวียน ผ่านบัญชีของข้าพเจ้าและภรรยา ที่เปิดไว้กับธนาคารต่างๆ ซึ่งเป็นการฝากและใช้จ่ายตามปกติทุกรายการที่ปรากฏในบัญชีธนาคาร ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ (พ.ศ. 2552-2557) และย้อนหลังไปก่อนดำรงตำแหน่งหลายปีบวกทบๆ กัน โดยไม่ได้พิจารณาว่าเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเป็นการคิดคำนวณที่ไม่เป็นตามหลักบัญชี รวมทั้งทรัพย์สินอื่นมาบวกรวมกันให้เห็นว่า ข้าพเจ้ามีทรัพย์สินที่มากเกินความเป็นจริง แล้วกล่าวหาข้าพเจ้าว่าร่ำรวยผิดปกติ ทั้งทรัพย์สินส่วนใหญ่ก็ไม่มีอยู่จริงและทุกรายการก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การมีหรือได้มาซึ่งทรัพย์สินตามที่กล่าวหานั้น เป็นการไม่ชอบหรือไม่มีเหตุอันควร หรือมีพฤติการณ์ที่ร่ำรวยผิดปกติอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น บัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง ภรรยาของข้าพเจ้าใช้ฝากเงิน เพื่อหมุนเวียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 6 ล้านบาท ตลอดเวลา 5 ปี ที่ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่ง ย่อมมีการถอนออกแล้วฝากเข้าเป็นปกติของการซื้อขายหุ้น แต่อนุกรรมการ ป.ป.ช. ใช้วิธีนำเอาเฉพาะรายการฝากทุกๆ ครั้งบวกทบๆ กัน จึงทำให้ยอดบัญชีสูงถึง 86 ล้านบาท ทั้งที่ตัวเงินจริงมีเพียง 6 ล้านบาทที่หมุนเวียน เป็นต้น

การกล่าวหาว่าข้าพเจ้าร่ำรวยผิดปกติ จึงมีความคลุมเครือไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้เข้าใจข้อกล่าวหาได้ดี และไม่อยู่ในวิสัยที่วิญญูชนจะสามารถจดจำนำหลักฐานมาชี้แจงข้อกล่าวหาได้ ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยระเบียบตามข้อ 37 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 47 และมาตรา 125

ประการสำคัญ อนุกรรมการ ป.ป.ช. ใช้วิธีคิดคำนวณรายได้จากเงินเดือนและค่าตอบแทนเฉพาะการรับราชการของข้าพเจ้าและภรรยาเท่านั้น ไม่ได้ตรวจสอบถึงรายได้จากการทำธุรกิจ เช่น การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การซื้อขายที่ดิน และการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ เช่น ทองคำ และอัญมณี ซึ่งในปัจจุบันการมีรายได้จากธุรกิจต่างๆ ของข้าราชการเป็นเรื่องปกติ ที่กระทำได้โดยชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานหรือพฤติการณ์ใดๆ เลยที่แสดงว่า ข้าพเจ้ามีทรัพย์สินเหล่านั้น หรือได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือโดยไม่ถูกต้อง

ข้อ 2 ข้าพเจ้าขอตั้งคำถามต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังต่อไปนี้

(1) วิธีคิดคำนวณทรัพย์สินของข้าพเจ้าเป็นไปตามหลักการทางบัญชีที่คนปกติเขาใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันหรือไม่

(2) การปฏิบัติต่อข้าพเจ้าเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

(3) ได้ปฏิบัติกับข้าพเจ้าเท่าเทียมกับปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ หรือไม่

ข้อ 3 ข้าพเจ้าจะได้แต่งตั้งทนายความขึ้นต่อสู้ในชั้นศาลยุติธรรมต่อไป และหากในที่สุดศาลตัดสินว่า ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำผิดตามที่ ป.ป.ช. มีมติแล้ว ถึงตอนนั้น ป.ป.ช. จะรับผิดชอบต่อความไม่เป็นธรรมที่ได้กระทำกับข้าพเจ้าหรือไม่ อย่างไร

สตง. เปิดผลสอบ “ราชภักดิ์” ปลาย มี.ค. 59 เตรียมโชว์หลักฐาน 20 ลบ. ที่โรงหล่อจ่ายเซียนพระ “ไม่ใช่ค่าหัวคิว”

$
0
0
นายพิสิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559 นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยว่า สตง. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ บนพื้นที่โรงเรียนนายสิบทหารบก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพิ่มเติมตามที่ พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) มอบหมายเสร็จสิ้นแล้ว และได้แจ้งไปยัง พล.อ. ไพบูลย์ เพื่อขออนุญาตแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนแล้ว คาดว่าจะสามารถจัดแถลงข่าวเพื่อเปิดเผยผลการตรวจสอบของทั้ง สตง. และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ที่จัดทำขึ้นคู่ขนานกัน ได้ภายในเดือนมีนาคม 2559 นี้ เนื่องจากกรณีโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ถูกตั้งคำถามมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ควรจะได้ข้อยุติเสียที โดยหลังจากแถลงข่าวจบ สตง. ก็จะส่งมอบพยานหลักฐานทุกอย่างให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตรวจสอบต่อไปตามที่มีหนังสือร้องขอมา เพื่อที่ ป.ป.ช. จะได้สอบถามผลการตรวจสอบของ สตง. อีกทางหนึ่ง

“สตง. เพียงแต่แจ้ง พล.อ. ไพบูลย์ว่าตรวจสอบเสร็จแล้ว ไม่ได้แจ้งรายละเอียดผลการตรวจสอบ เพราะต้องการให้รอฟังในวันเดียวกับที่แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ที่คาดว่าจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้” นายพิศิษฐ์กล่าว

เมื่อถามว่า ผลการตรวจสอบของ สตง. จะนำไปสู่การดำเนินคดีกับบุคคลใดหรือไม่ นายพิศิษฐ์กล่าวว่า สตง. ได้เน้นการตรวจสอบไปที่การรับจ่ายเงินในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ทั้งหมด โดยเฉพาะการรับเงินบริจาค ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีการลงบัญชีและออกใบเสร็จไว้อย่างถูกต้อง แม้กระทั่งการประกาศว่าจะบริจาคเงินให้ผ่านสื่อ

เมื่อถามถึงประเด็นเรื่องการเรียกรับหัวคิวการหล่อพระรูปอดีตพระมหากษัตริย์แห่งสยามของ “เซียนพระ อ.” นายพิศิษฐ์กล่าวว่า ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน สตง. จะนำหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ทั้งเช็คการบริจาคเงินคืนให้กับกองทัพบก จำนวน 5 ใบ รวมเป็นเงิน 20 ล้านบาท รวมถึงพยานหลักฐานต่างๆ ที่ยืนยันว่า เซียนพระ อ. ดังกล่าว ได้เข้ามาร่วมลงแรงในการหล่อพระรูปดังกล่าวจริงๆ ซึ่งจะแตกต่างจากพฤติกรรมการเรียกรับหัวคิวในอดีต ที่มักเรียกรับเงินก่อนเริ่มต้นโครงการ แต่เซียนพระ อ. รายนี้ ได้รับเงินค่าที่ปรึกษา หลังจากการหล่อพระรูปทุกองค์แล้วเสร็จ นอกจากนี้ ยังมีการต่อรองกับโรงหล่อเพื่อลดราคาลงมาจากองค์ละ 70 ล้านบาท เหลือเพียงองค์ละ 41-45 ล้านบาท ส่วนที่บริจาคเงินคืนให้กับกองทัพบก อาจเป็นเพราะมีผู้หวังดีมาแนะนำ

“แต่ผมจะยังไม่ขอตอบว่า จากการตรวจสอบของ สตง. เงินที่เซียนพระ อ. ได้รับเป็นค่าหัวคิว หรือค่าที่ปรึกษา เพราะอยากให้รอฟังพร้อมการชี้แจงพยานหลักฐานในคราวเดียวกันไปเลย” ผู้ว่าฯ สตง. กล่าว

เมื่อถามถึงการที่กองทัพบกไม่แสดงราคากลางการหล่อพระรูปตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 ไว้บนเว็บไซต์ จะเป็นปัญหาหรือไม่ นายพิศิษฐ์กล่าวว่า ถึงจะไม่แสดงราคากลาง แต่เท่าที่ตรวจสอบเปรียบเทียบกับการหล่อพระรูปอื่นๆ ของ สตง. ไม่พบว่ามีราคาแพงเกินจริง ทั้งเรื่องความหนาของโลหะสำริด และในเชิงศิลปกรรม

ขณะที่ พล.อ. ไพบูลย์ ให้สัมภาษณ์ว่า การแถลงข่าวผลการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ของทั้ง สตง. และ ป.ป.ท. จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า

8 องค์กรปราบทุจริตบูรณาการตั้งคณะทำงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้ ที่สำนักงาน ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ จ.นนทบุรี องค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ รวม 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย ป.ป.ช. ป.ป.ท. สตง. ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกันแถลงข่าวว่าจะมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันของทั้ง 8 หน่วยงาน ภายใต้โครงสร้าง “คณะทำงานโครงการบูรณาการร่วม เพื่อการบริหารจัดการคดีระหว่างองค์กรอิสระและหน่วยงานการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันภาครัฐ”

นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการทำงานของคณะทำงานฯ นี้จะมีด้วยกัน 3 ข้อ 1. หยิบคดีต่างๆ มาหารือร่วมกันว่ามีความซ้ำซ้อนกันหรือไม่ 2. แลกเปลี่ยนทางการข่าวเพื่อบูรณาการการทำงาน และ 3. กำหนดแนวทางการชี้แจงต่อสาธารณชนถึงความคืบหน้าในคดีสำคัญ

ด้านนางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การจัดตั้งคณะทำงานฯ นี้ จะช่วยให้ทั้ง 8 หน่วยงานบูรณาการการทำงานเพื่อรองรับเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หลังพบว่า ช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2549-2558 การทุจริตคอร์รัปชันทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียผลประโยชน์ไปมากกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากคณะทำงานฯ นี้ประสบความสำเร็จ จะช่วยให้ดัชนีภาพลักษณ์ความโปร่งใส (Corruption Perception Index: CPI) ของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จากที่ในปี 2558 ได้คะแนนเพียง 38 คะแนน จากเต็ม 100 คะแนนเท่านั้น

Viewing all 235 articles
Browse latest View live